การตัดสินใจปรับเพดานภาษีน้ำมันจาก 5 บาท/ลิตร เป็น 10 บาท/ลิตร หรือเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว น่าจะเป็นอีกหนึ่งจุดสลบของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
แม้รัฐบาลพยายามจะชี้แจงว่าเบื้องต้นจะปรับขึ้นเพียง 2 บาท และไม่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันขายปลีก เพราะจะใช้เงินกองทุนน้ำมันเข้ามารับภาระส่วนนี้
ฟังเผินๆ อาจจะดูดี แต่ถ้าคิดให้ลึกซึ้งเป็นการยักย้ายถ่ายเทเงินกองทุนน้ำมันมาเข้ากระเป๋ารัฐบาลนั่นเอง
เนื่องจากเงินกองทุนน้ำมันมีระเบียบป้องกันอย่างรัดกุม ไม่ใช่จะนำมาใช้จ่ายแบบมั่วซั่วได้ แต่เพราะปัจจุบันมีวงเงินอยู่กว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ทำให้รัฐบาลจ้องตาเป็นมัน
แต่เมื่อติดขัดระเบียบ จึงใช้มาตรการภาษีดึงเงินจากกองทุนน้ำมันออกมาใช้อย่างแยบยล
ทั้งๆ ที่เจตนารมณ์ของกองทุนน้ำมันตั้งขึ้นมาเพื่อพยุงราคามิให้ชาวบ้านรับภาระมากเกินไป ในยามที่น้ำมันราคาพุ่งขึ้นสูง
แต่รัฐบาลนี้กลับซิกแซ็กดึงเงินจำนวนนี้ออกมาใช้ โดยไม่คำนึงถึงใอนาตอันใกล้ว่าหากราคาน้ำมันที่กำลังปรับขึ้นทุกขณะ จากสภาวะเศรษฐกิจโลกทีเริ่มกระเตื้องขึ้นบ้างแล้ว พุ่งแพงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ขณะที่เงินกองทุนน้ำมันก็ถูกรัฐบาลดึงไปใช้จนเกลี้ยง จากการเรียกเก็บภาษีน้ำมันแบบนี้
ประชาชนต้องรับภาระค่าน้ำมันมากกว่าความจำเป็น
ทั้งที่เงินจากกองทุนน้ำมันก็เป็นเงินของประชาชนเอง รัฐบาลไม่ได้ช่วยเหลือหรือนำเงินมาใส่ไว้แต่อย่างใด เพราะเป็นเงินที่เก็บจากประชาชนในยามที่น้ำมันราคาถูก
แต่ยามใดที่ประชาชนเดือดร้อน จะใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเพื่อมาบรรเทาความลำบาก กลับถูกรัฐบาลแย่งใช้เงินจำนวนนี้ไปเสียแล้ว
หากคนไทยต้องใช้น้ำมันที่แพงเพราะตลาดโลก แม้จะลำบากแต่ก็ไม่ปริปากบ่นเนื่องจากเป็นเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม
แต่ถ้าคนไทยต้องใช้น้ำมันแพงเพราะรัฐบาลมาขูดโขกภาษี และนำเอาเงินที่จะช่วยพยุงราคาเอาไว้ มันคงเป็นเรื่องยากที่จะทำใจ
และคงทำใจยากยิ่งขึ้นหากมองลึกลงไปว่า นี่คือรัฐบาลที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทย ไม่ได้ตั้งใจจะเลือกให้เข้ามาบริหารประเทศตั้งแต่แรก!!!