จตุพรเปิดซีดีแล้วสรุปอภิสิทธิ์ไม่อยู่ในรถ

คมชัดลึก :นปช.โวยฝนเทียมกลั่นแกล้งเสื้อแดงชุมนุมทุลักทุเล "จตุพร"ยันนายกฯเปลี่ยนรถชี้คนละคันแต่เลขทะเบียนเดียวกัน แกนนำเสื้อแดงชี้รัฐประหาร-อำมาตย์ทำร้ายประเทศไทย เสวนาสาธารณะ ครบรอบ 17 ปีพฤษภาทมิฬ “ ญาติวีรชน – กก.รณรงค์สิทธิมนุษยชน ” เรียกร้องกองทัพยุติบทบาทแทรกแซงการเมือง


เวทีปราศัยของ นปช.เปิดฉากขึ้นอีกครั้งในเวลา 17.00 น.วันที่ 10 พ.ค. หลังจากถูกพายุฝนกระหน่ำอย่างหนักก่อนหน้านี้ โดยแกนนำขึ้นเวทีกล่าวต้อนรับผู้ชุมนุมเสื้อแดง และนำผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 13 เม.ย.มาขึ้นเวทีด้วย

 จากนั้นนายวีระ มุสิกพงษ์ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้แจ้งขอปรับรูปแบบการชุนุมจากการปราศรัยสลับการแสดงดนตรี มาเป็นการปราศรัยรวดเดียว จากนั้นจะเปิด วีซีดี จับโกหกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และปิดท้ายด้วยการแสดงดนตรี เนื่องจากสภาพอากาศไม่อำนวย

 นายวีระ กล่าว่า แกนนำได้มาสำรวจพื้นที่วัดไผ่เขียว แล้วเห็นว่าเหมาะสม และตั้งใจจะจัดชุมนุมที่นี่เป็นประจำ เพราะมีพื้นที่กว้างขวาง แต่วันนี้ไม่คิดว่าจะเกิดฝนตกหนักขนาดนี้ คาดว่าพายุฝนครั้งนี้เกิดจากการทำฝนเทียม เพราะคนเสื้อแดงประกาศชุมนุมล่วงหน้าเป็นเวลานานแล้ว

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากพายุฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักตั้งแต่ช่วงบ่าย ทำให้พื้นที่บริเวณการชุมนุมเกิดน้ำขังจนมีสภากลายเป็นดินเลน ผู้ชุมนุมที่ยังปักหลักรอฟังการปราศัยต้องถอดรองเท้าเดินย่ำไปอย่างทุลักทุเล

"จตุพร"ยันนายกฯเปลี่ยนรถชี้คนละคันแต่เลขทะเบียนเดียวกัน

เมื่อเวลา 17.30 น. นายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำ นปช. แถลงข่าวว่า การจัดเวทีในวันนี้ ก็เพื่อทำความจริงให้ปรากฏว่า กลุ่มคนเสื้อแดง ถูกใส่ร้ายอย่างไร โดยเฉพาะที่กระทรวงมหาดไทย ที่จะมีการนำภาพเคลื่อนไหวที่ยืนยันได้ว่า นายกฯไม่ได้อยู่ในรถคันนั้น แต่ได้เปลี่ยนไปอยู่ในรถคันอื่น ที่เป็นเลขทะเบียนเดียวกัน โดยใช้เวลาเปลี่ยนรถเพียงแค่ไม่ถึง 1 นาที

 "หากรัฐบาลยังบิดเบือนต่อไป จะทำให้เราไปชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลเร็วขึ้น ผมขอเรียกร้องให้ผู้ที่ถูกออกหมายจับ ที่ก่อเหตุที่ ก.มหาดไทย 21 คน ที่ขณะนี้ ยังไม่มอบตัว ซึ่งเชื่อว่า เป็นทหารที่สวมเสื้อสีแดง มามอบตัว ซึ่งหากใครสามารถแจ้งเบาะแส หรือทราบที่อยู่ ก็จะให้รางวัลนำจับ เพิ่มจาก 5 หมื่นบาท เป็น 1 แสนบาท"

 นายจตุพร กล่าวด้วยว่า ในคืนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะไม่โฟนอิน แต่ได้ฝากบอกแกนนำว่า ให้ช่วยกันดูแลความปลอดภัย อย่าให้เกิดความรุนแรง อย่าให้มีมือที่สาม เข้ามาปั่นป่วน และขอให้แกนนำ นำความจริงออกมาเปิดเผย เพราะเมื่อความจริงเปิดเผย รัฐบาลจะอยู่ไม่ได้

 ทั้งนี้ กลุ่มคนเสื้อแดง จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง เหตุหการณ์สลายการชุมนุม ควบคู่ไปกับกรรมการที่รัฐสภาตั้งขึ้นด้วย

"จตุพร"เปิดซีดีแล้วสรุป"อภิสิทธิ์"ไม่อยู่ในรถ

 เมื่อเวลา 20.20 น. นายจตุพรได้ขึ้นเวที่ทำการปราศรัยท่ามกลางฝนที่ตกลงมาพรำ ๆ ตลอดเวลา ได้เทลงมาอย่างหนัก
นายจตุพร กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เคยประกาศแถลงการณ์หลายครั้งในค่ายทหาร แต่ทำไมต้องออกมาประกาศพรก.ฉุกเฉิน ที่กระทรวงมหาดไทย และการที่ บช.น. ออกหมายจับ 21 คนเสื้อแดง ที่บุกกระทรวงมหาดไทย ยอมรับว่า มีคนเสื้อแดงบางส่วนจริง แต่สายข่าวบอกว่า ที่เหลือเป็นทหารมาสร้างสถานการณ์

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างนี้ นายจตุพร ได้เปิดวีซีดี โดยเป็นการลำดับและตัดต่อภาพโดยดีสเตชั่น ซึ่งนายจตุพร ได้สรุปความดังนี้

 1.นายอภิสิทธิ์ ไม่ได้อยู่ในรถประจำตำแหน่ง 2.เป็นกับดักเพราะไม่มีทีมรปภ.ดูแลประตูต่าง ๆ ในกระทรวงมหาดไทย แตกต่างกับที่ทำเนียบฯ ที่ใช้ทหาร 5 พันนายรักษาความปลอดภัยทำเนียบ อีกทั้งยังมีการหลอกคนเสื้อแดง โดยให้การ์ดของนายกฯ มายืนคุ้มกันรถประจำตำแหน่ง และมีการถอยรถชนคนเสื้อแดง จนคนเสื้อแแดงโกรธและเข้าไปทำร้าย เพีราะคิดว่า นายกฯอยู่ในรถ

 3.การถอยรถชนคนเสื้อแดง ถือเป็นการยั่วยุ อีกทั้งสื่อฯ ก็นำเสนอภาพรถของนายนิพนธ์ พร้อมพันธ์ เลขาธิการนายกฯ ที่ถูกตัดต่อเสมือนว่า นายนิพนธ์ ตามนายอภิสิทธิ์มา ทั้ง ๆ ที่อยู่คนละพื้นที่ในกระทรวงมหาดไทย

 4.มีการโฟกัสไปยังกระจกหน้ารถที่ติดฟิลม์ดำ ของรถประจำตำแหน่งนายกฯ ซึ่งเห็นเพียงคนขับรถ และการ์ดของนายกฯ ที่นั่งอยู่ด้านหน้า แต่ไม่เห็นว่า มีคนนั่งด้านหลัง จึงเชื่อได้ว่า นายอภิสิทธิ์ หลบหนีไปโดยรถคันอื่น ก่อนที่คนเสื้อแดงจะบุกก.มหาดไทย หลังการประกาศพรก.ฉุกเฉิน

แกนนำเสื้อแดงชี้รัฐประหาร-อำมาตย์ทำร้ายประเทศไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลา  19.30 น.ฝนยังตกอย่างต่อเนื่อง แต่ประชาชนก็ยังปักหลักชุมนุม   ทั้งนี้ บนเวทีมีแกนนำคนเสื้อแดง อยู่กันครบทั้งหมด ยกเว้นนายจักรภพ เพ็ญแข เท่านั้น  นายแพทย์เหวง โตจิลาการ กล่าวปราศรัยว่า พวกเราคือผู้สร้างประชาธิปไตย ดังนั้น จึงขอให้หยุดร้องไห้ ทั้งนี้ ในช่วงที่มีการชุมนุม เขาได้ไปเยี่ยมผู้ที่บาดเจ็บ ก็พบว่า รัฐใช้กระสุนจริง ซึ่งความจริงต้องปรากฏ ไม่ใช่รัฐบาลเสนอข่าวฝ่ายเดียว ต้องให้ข้อมูลรอบด้านให้ทุกฝ่ายพิจารณา

 "เรื่องนี้ ต้องมีการชำระสะสาง หลังจากมีประชาธิปไตยที่แท้จริง คนที่ทำร้ายประเทศไทย ก็คือ การรัฐประหาร 19 ก.ย. และระบอบอำมาตยาธิปไตย"

แกนนำเสื้อแดงประกาศชมถ่ายทอดสดได้ที่ช่องMVวาไรตี้

เวลาประมาณ 20.00 น. นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ได้ขึ้นเวทีประกาศต่อผู้มนุมว่า ขณะนี้ชาวเสื้อแดงสามารถรับชมรายการการชุมนุมของคนเสื้อแดง และความจริงวันนี้ ทางสถานีโทรทัศน์ดีทีวี ผ่านช่อง MV วาไรตี้ได้แล้ว โดยสามารถใช้จานดาวเทียมและเครื่องรับชุดเดิม

 ต่อมานางดารณี กฤตบุญญาลัย พร้อมกับสามีได้นั่งรถตู้เข้ามายังด้านหลงเวทีปราศรัย จากนั้นนางดารณี ซึ่งใส่เสื้อแดง วิกผมสีแดง กางเกงแดง และรองเท้าแดง ได้ขี่คอการ์ดเสื้อแดงเพื่อไปขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ เนื่องจากสภาพพื้นที่เป็นโคลนเลน

ก่อแก้วประกาศตรวจสอบแกนนำสื่อ"หยุดทำร้ายประเทศไทย"

นายก่อแก้ว พิกุลทอง ปราศรัยบนเวทีถึงการไปร่วมรณรงค์กับกลุ่มหยุดทำร้ายประเทศไทยว่า เนื่องจากตนต้องการแสดงจุดยืนว่ากลุ่มคนเสื้อแดงไม่ต้องการทำร้ายประเทศชาติ ทั้งๆที่รู้ว่าเครือข่ายที่เป็นแนวร่วมของขบวนการหยุทำร้ายประเทศไทยนั้นครึ่งหนึ่งเป็นแนวร่วมของรัฐบาลอำมาตยาธิปไตย และแกนนำในการรณรงค์บางคนก็มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ซึ่งการไปครั้งนั้นไม่ได้ปรึกษาแกนนำคนอื่น เพราะเชื่อว่าคนอื่นคงไม่อยากให้ไป แต่มั่นใจว่าการทำความดีทำที่ไหนก็ได้

 นายก่อแก้วยังอ้างเหตุต่อว่า ที่ตนไปร่วมรณรงค์ก็เพราะว่าปฏิญญา 1 ใน 9 ข้อมีการเรียกร้องให้สื่อทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา และแกนนำในการรณรงค์ที่เป็นสื่อคนหนึ่ง ที่ผ่านมาทำหน้าที่บิดเบือน โจมตีกลุ่มคนเสื้อแดง ดังนั้นจะขอตรวจสอบแกนนำสื่อคนนี้ว่าจะบิดเบือนหรือไม่ ถ้าบิดเบือนอีก ตนจะออกมาด่าด้วยตัวเอง

 นอกจากนี้นายก่อแก้วยังเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมพยายามส่งข้อความสั้นทางโทรศัพท์ไปยังรายการข่าวทุกรายการ ทุกช่อง เพื่อชี้ให้เห็นความไม่เป็นธรรมของสังคม

ญาติวีรชนจี้กองทัพเลิกยุ่งการเมือง

ที่ห้องประชุม 14 ตุลาฯ มูลรนิธิ 14 ตุลา ฯ ถ.ราชดำเนิน วันที่ 10 พ.ค.52 เวลา 13.30 น. คณะกรรมการญาติวีรชน ร่วมกับศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย และคณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน ( ครส.) จัดเสวนาสาธารณะเนื่องในโอกาสครบรอบ 17 ปี เหตุการณ์ 17 พฤษภาคม2535 เรื่อง “ 17 ปี 17 พฤษภากับบทเรียนของประเทศไทย ” มีนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 , น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ รองประธานกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ ( คปส.) , นพ.บัณฑิต ศรไพศาลผอ.สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ , น.ส.ประทับจิตร นีละไพจิตร นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บุตรสาวนายสมชาย อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิมแห่งประเทศไทย , นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ปัญญาชนสยาม ร่วมเสวนา และนายเมธา มาสขาว เลขาธิการครส. เป็นผู้ดำเนินการเสวนา

 นายเมธา ได้อ่านแถลงการณ์ ครส. เกี่ยวกับการจัดเสวนาว่า เพื่อเสนอแนะรัฐบาลและกองทัพ ให้ตระหนักถึงบทเรียนการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมในอดีต โดยเฉพาะบทบาทกองทัพที่มีต่อการเมืองไทยในปัจจุบัน รวมทั้งให้อนุสติกับสังคมในเรื่องความรุนแรงทางสังคม ซึ่ง ครส. มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลและกองทัพ 3 ข้อ คือ

 1.กองทัพต้องวางบทบาทตนเองต่อการเมืองใหม่โดยปฏิรูปกองทัพให้เป็นทหารอาชีพ แก้ไขกฎหมายที่เอื้ออำนาจให้กองทัพ ไร้การตรวจสอบถ่วงดุลจากฝ่ายตุลาการ โดยให้อยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนอย่างแท้จริง และยุติบทบาทแทรกแซงการเมืองหรือผลประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบโดยให้สื่อมวลชนและรัฐสภาตรวจสอบการทำงานได้อย่างโปร่งใสโดยเฉพาะงบลับ ซึ่งรัฐบาลและกองทัพควรจัดให้มีการสรุปบทเรียน 17 ปี เหตุการณ์17 พฤษภาคม 35 ร่วมกันเพื่อจัดวางบทบาทของกองทัพภายใต้การกำกับรัฐบาลพลเรือน

 2.กองทัพ ต้องชี้แจงเรื่องที่มีข้อครหาว่ากองทัพมีส่วนพัวพันและเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ทั้งนี้เพื่อสร้างความโปร่งใสทางการเมือง และยุติบทบาทกองทัพกับคามขัดแย้งทางการเมือง และเป็นสัญญาประชาสังคมว่ากองทัพจะไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองที่ไม่ใช่หน้าที่อีกต่อไป

 3. คณะกรรมการญาติวีรชน ฯและ ครส. เรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบ กรณีมีเบาะแสพบตู้คอนเทนเนอร์จำนวนหนึ่งในทะเลอ่าวไทยที่ ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ซึ่งคาดว่าอาจจะมีศพผู้สูญหายในเหตุการณ์พฤษภา 35 ถูกนำไปซุกซ่อนไว้กว่า 17 ปี โดยขณะนี้เหมาะสมแก่เวลาแล้วที่กองทัพต้องแสดงความจริงใจโดยการคืนกระดูกให้ญาติวีรชน นำไปทำบุญตามพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป

 ด้านนายอดุลย์ กล่าวย้ำถึงตัวเลขผู้สูญหายจากเหตุการณ์พฤษภา ฯ ว่า ไม่ใช่ตัวเลข 38 คนอย่างที่ทางการเคยพูดกัน แต่ตัวเลขที่แท้จริงซึ่งกลุ่มญาติ ได้เคยเรียกร้องต่อสหประชาชาติและเป็นที่ยอมรับ คือ 357 คน ดังนั้นรัฐบาลและกองทัพมีหน้าที่ต้องติดตามหาผู้สูญหายกลับมาให้ครบ รวมถึงกรณีการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตรด้วย โดยในวันอังคารที่12 พ.ค.นี้ ตนได้นัดพบกลุ่มญาติผู้สูญหายที่หน้าสำนักงาน ก.พ. เวลา 08.00 น. เพื่อเตรียมจะเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี เวลา 09.00 น. เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลและกองทัพ เปิดโอกาสให้มีการพิสูจน์โครงกระดูกที่พบ จ.ชลบุรี ซึ่งเราจะขอความเมตตาจากรัฐบาลและกองทัพเพื่อคืนศพ หรือกระดูกให้กลุ่มญาติเพื่อนำมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป

 ด้าน น.ส.ประทับจิตร บุตรสาวนายสมชาย นีละไพจิตร ซึ่งหายตัวไป ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยว่ายังไม่อาจเรียกว่าเป็นบทเรียนได้ เพราะบางเหตุการณ์ยังไม่จบสิ้น รวมทั้งยังไม่มีพิสูจน์การหายตัวไปและไม่มีการสรุปความผิดที่เกิดขึ้น ขณะที่ต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุการณ์ก็จะจบลงด้วยการพิสูจน์ความผิด และลงโทษผู้กระทำผิด แต่ประเทศไทยจบลงด้วยการชดใช้การเยียวยาให้ญาติผู้สูญหาย แล้วทำให้เกิดความกลัวว่าคนผิดยังลอยนวลต่อไป ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งลงนามและการให้สัตยาบัณในอนุสัญญาว่าด้วยการทำให้บุคคลสูญหายโดยไม่สมัครใจและต่อต้านการสูญหายของสหประชาชาติ ซึ่งหากรัฐบาลเริ่มแสดงความกล้าหาญต่อการรับผิดชอบในเรื่องนี้ ก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อปฏิรูปโครงสร้างสังคมและการเมืองได้

  น.ส.สุภิญญา  กล่าวถึงบทเรียนของประเทศไทยว่า ในการเกิดรัฐประหาร 19 ก.ย.49 ที่ผ่านมา ยังมีข้อดีที่ทำให้เราเรียนรู้และยอมรับข้อเท็จจริงว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นลงลึกในสังคม และต่อไปทำให้เห็นว่าการรัฐประหารจะเกิดขึ้นได้ไม่ง่าย เนื่องจาก 1.ผู้ทำรัฐประหาร ไม่รู้ว่าจะเข้ามาบริหารการใช้อำนาจอย่างไร แล้วไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาประเทศได้อย่างไร 2.หลังจากเกิดรัฐประหารพบว่า มีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยแสดงให้เห็นว่าพร้อมจะแลกชีวิต หากจะมีการรัฐประหารอีก ดังนั้นทำให้ ผู้จะทำรัฐประหารเองเกิดความไม่แน่ใจที่จะทำรัฐประหาร ขณะที่ความสัมพันธ์ของสื่อกับประชาชน ก็ต้องกลายเป็นลักษณะทั้งรักทั้งเกลียด คือ ถ้าสื่อนำเสนอประเด็นที่ตรงใจ ก็ชื่นชอบ แต่ถ้าไม่ก็จะเกิดความกลียดชัง แต่ก็เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ว่าสื่อยู่ในสถานะใด กลุ่มคน และฝ่ายการเมือง ยังต้องการพื้นที่สื่อเพื่อนำเสนอข่อเท็จจริง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่สื่อหลัก ๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ – โทรทัศน์ – วิทยุ ต้องทำหน้าที่เปิดเผยความจริงเพื่อให้ความยุติธรรมบังเกิด โดยเสนอข้อเท็จจริงให้รอบด้าน ครบถ้วน ส่วนวิทยุชุมชนที่เกิดขึ้นกว่า4,000 สถานีเป็นการแสดงให้เห็นว่ามีข้อดีเรื่องการกระจายอำนาจจัดสรรคลื่น เพียงแต่เนื้อหาการนำเสนอของแต่ละสถานีอาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมดก็ต้องตรวจสอบเนื้อหาด้วย

 ด้าน นพ.บัณฑิต ผอ. สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นฯ กล่าวถึงการแก้ปัญหาในสถานการณ์ที่จะมีความรุนแรงเกิดขึ้นว่า ขณะนี้อาจเรียกได้ว่า เกิดวงจรการแก้แค้นระหว่างฝ่ายทหารและสีต่างๆ ดังนั้นจึงควรที่จะสร้างกลไกพักการล้างแค้นที่จะต้องให้มีเวลาพอสมควร แล้วค่อยดำเนินการแก้ รธน. ยุบสภา แล้วเลือกตั้งปฏิรูปการเมืองใหม่ตามที่มีการเสนอ แต่ในการปฏิรูปจะต้องเน้นการพัฒนาเด็กอย่างจริงจังและ สร้างคนเพื่อให้เกิดสติปัญญาอย่างเพียงพอ เพราะเวลานี้สังคมไทยอยู่ในสภาวะที่ความสัมพันธ์ ระหว่างอารมณ์กับเหตุผลนั้น อารมณ์ ควบคุมอยู่เหนือเหตุผล จนไม่สามารถใช้เหตุได้อย่างถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ ตัวอย่างในการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บอกว่าจะต้องยึดสนามบิน เพราะจำเป็น เช่นเดียวกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ไปบุกการระชุมอาเซียน ที่ พัทยา จ.ชลบุรี ซึ่งหากประเทศไทยยังไม่ทำการจัดระเบียบภายในตัวเอง ก็จะส่งผลให้อนาคตอาจจะมีการจัดระเบียบจากภายนอกโดยต่างประเทศได้ในลักษณะเงื่อนไขการต่อรองทางเศรษฐกิจ เพราะเมื่อประเทศไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ระบบเศรษฐกิจก็เกิดปัญหา

 ขณะที่นายสุลักษณ์  กล่าวว่า สังคมไทย มีปัญหาเรื่องสัจจะ ที่ถูกบิดเบือนไป โดยทำให้เหตุการณ์ต่างๆ หายไปโดยไม่พูดถึงเพื่อไม่ให้เกิดความทรงจำที่จะมองเห็นว่าปัญหาที่แท้จริงเกิดจากอะไร ซึ่งปัญหาเกิดจากสถาบันต่าง ๆ ในรัฐาธิปัตย์นี้ ไม่ใช่เพียงการใช้อำนาจของกองทัพ ซึ่งกองทัพเป็นเพียงส่วนหนึ่งของรัฐาธิปัตย์ ขณะที่กองทัพเองกลายเป็นสถาบันที่มีความไม่แน่นอนในเวลานี้ ดังนั้นการจะแก้ปัญหาควรต้องมองถึงระบบทั้งหมดที่ถูกครอบงำภายใต้ยุคโลกาภิวัตน์ด้วย


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์