หลังเหตุการณ์เลือดตกยางออกเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา
ถึงช่วงนี้ใครต่อใครหลายคนรู้สึกได้ว่า สถานการณ์การเมืองกำลังคลี่คลายไปในทางสงบเรียบร้อยมากขึ้น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ เด้งเชือกพาตัวเองออกจากมุมอับทางการเมืองได้ชนิดกองเชียร์ใจหายใจคว่ำ
การเสนอนับหนึ่งในการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญ
ถึงบางคนไม่เห็นด้วยเพราะมองว่าเป็นเพียงการแก้ไขกฎกติกา เพื่อประโยชน์ในหมู่นักการเมืองด้วยกันเองเป็นหลักโดยประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้อะไร
นั่นก็จริงส่วนหนึ่ง
แต่อีกส่วนก็ต้องยอมรับว่าปัญหาความขัดแย้งแตกแยกในบ้านเมืองช่วง 2-3 ปีหลัง มีรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นสาเหตุรวมอยู่ด้วย
แน่นอนว่ารัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้คือฉบับปี"40 เปิดช่องให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ สามารถใช้อำนาจ ไปในทางไม่ถูกไม่ควร
จนทหารอดรนทนไม่ไหวออกมายึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญปี"40 ทิ้ง แล้วตั้งบุคคลคณะหนึ่งขึ้นมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งก็คือรัฐธรรมนูญปี"50 ที่ใช้อยู่ตอนนี้
จุดเด่นของรัฐธรรมนูญปี"50 คือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ผ่านการทำประชามติ
ฝ่ายรณรงค์การทำประชามติขณะนั้นพยายามโน้มน้าวผู้มีสิทธิ์มีเสียงให้โหวตรับร่างรัฐธรรมนูญไปก่อน ถ้ายังมีปัญหาข้องใจมาตราไหนค่อยไปหาทางแก้ไขภายหลัง
ผลสุดท้ายร่างรัฐธรรมนูญปี"50 จึงผ่านการลงประชามติเมื่อ 19 ส.ค. 50 ด้วยคะแนนเห็นชอบร้อยละ 58 ไม่เห็นชอบ 42
ด้วยคะแนนที่ชนะกันไม่เด็ดขาด ประกอบกับบางมาตราที่ผิดเพี้ยนไปจากหลักประชาธิปไตย
ทำให้รัฐธรรมนูญปี"50 กลายเป็นเงื่อนไขความขัดแย้งทางการเมืองเรื่อยมาตั้งแต่รัฐบาลสมัคร มาจนถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์
ในทางการเมืองนั้นอะไรก็แล้วแต่ที่ยึดเอา"ตัวบุคคล"เป็นจุดมุ่งหมายหลักไม่ว่าจะในทางบวกหรือลบ จะถูกมองว่าไม่มีความชอบธรรมด้วยกันทั้งสิ้น
การเคลื่อนไหวของม็อบเสื้อแดงที่แผ่วปลายเพราะสังคมส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย เนื่องจากมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่รุนแรงแล้วยังเป็นไปเพื่อคนๆ เดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ
ดังนั้น รัฐธรรมนูญที่ยกร่างขึ้นมาโดยมีเป้าหมายในการขุดรากถอนโคนบุคคลเพียงคนเดียว แล้วทำให้ประเทศชาติวุ่นวาย
จึงไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่ชอบธรรมเช่นเดียวกัน