เหตุการณ์ "เมษาวิปโยค" ได้ชักนำสังคมไทยตกอยู่ในห้วงภวังค์ต้องเสพความรุนแรงอย่างปฏิเสธไม่ได้อีกครั้ง
ถือเป็นความรุนแรงที่ผนวกมาพร้อมกับความอึดอัด คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ-สนามบินดอนเมืองของ "กลุ่มคนเสื้อเหลือง" เมื่อปลายปีที่แล้ว
แต่คราวนี้เป็นบทบาทของ "กลุ่มคนเสื้อแดง" ที่สร้างความอึดอัดให้กับสังคมด้วยการเผารถเมล์ ปิดถนน ก่อจลาจล รวมถึงการนำรถแก๊สปิดแยกสำคัญๆ
อุณหภูมิร้อนดังกล่าวทำให้สังคม "เกิดอาการทนไม่ไหว" ต้องออกมาส่งเสียงให้ทุกฝ่ายหยุดก่อความรุนแรงและหยุดสร้างความวุ่นวายเสียที
สถานการณ์ทางการเมืองช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาทำให้สังคมไทยไม่อาจทานทนกับภาวะอึมครึมมืดดำได้อีกต่อไป จึงไม่แปลกที่ "พลังเงียบ" ผู้อยู่ตรงกลางระหว่าง "สีเหลือง" "สีแดง" จะออกมาขานรับมาตรการ "หยุดทำร้ายประเทศไทย" พร้อมกับร่วมใจผนึกกำลังกับเครือข่ายองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน และสถาบันวิชาการจำนวน 21 องค์กรที่เป็นผู้เบิกโรงจุดพลุ "ชูธงชาติ" เพื่อปลุกให้สังคมตื่นจากภวังค์
ปรากฏการณ์ครั้งนี้แม้ไม่ได้เป็นเสียงจากคนทั่วทั้งประเทศ แต่สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าเป็น "พลังบริสุทธิ์" ที่ต้องการไปให้พ้น "สังคมสองขั้ว" เพราะคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนที่ไม่ถูกชักจูงจากแกนนำทั้งสองฝ่าย
แม้ไม่สามารถเปรียบเทียบเชิงปริมาณกับมวลชนเสื้อเหลืองและเสื้อแดง แต่ก็บ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า สังคมไทยไม่มีเพียงสองสีเท่านั้น
ที่น่าสนใจกับปรากฏการณ์ครั้งนี้ คือ การเข้าร่วมแสดงพลังของชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง อย่างชาวบ้านชุมชนเพชรบุรีซอย 5 และ 7 ที่ถูกมือมืดบุกยิงมัสยิดระหว่างเหตุการณ์สงกรานต์จลาจล รวมทั้งชาวบ้านชุมชนนางเลิ้งที่ถูกยิงเสียชีวิต 2 คน หลังจากออกมารวมพลังต้านการใช้ความรุนแรงก็มาออกมาร่วมแสดงพลังครั้งนี้ด้วย
นั่นยิ่งทำให้เห็นว่า เขาเหล่านี้ไม่ต้องการเห็นความรุนแรงเกิดขึ้นซ้ำซากกับคนร่วมสังคม !!!
อย่างไรก็ตาม ผลสัมฤทธิ์ของเครือข่าย "หยุดทำร้ายประเทศไทย" จะเกิดผลอย่างแท้จริง จึงไม่เพียงแค่การ "ชูธงชาติไทย" ไว้เบื้องหน้าแล้วเดินรณรงค์อันเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น
แต่ผลสัมฤทธิ์ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นจากการขยายวงกดดันให้กลุ่มคนที่มีความคิดเห็นต่าง "หยุดใช้ความรุนแรง" อย่างเป็นรูปธรรม และละเว้นการใช้กำลังเข้าตัดสินปัญหาอย่างที่เคยเป็นมา
เพราะบริบทสังคมในศตวรรษที่ 21 คงไม่มีใครอยากเห็น "คู่ขัดแย้ง" คว้าอาวุธสงครามออกมากลางเมือง
แล้วประกาศกล้าท่ามกลางเสียงปืนด้วยความท้าทายเพื่อ "เอาชัยมา"
และถ้าจะให้ได้ผลดี "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ผู้เป็นหัวหอกแห่งฝ่ายบริหาร ควรขับเคลื่อนนโยบายสมานฉันท์ อันเป็นพันธสัญญาที่ประกาศกร้าวต่อสาธารณะก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า "จะสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นกับคนในชาติ" ให้เป็นรูปธรรมเสียที
หากรัฐไม่สามารถสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดกับคนในชาติ ซ้ำร้ายกลับสร้างเงื่อนไขเพื่อก่อชนวนแห่งความรุนแรงทางความคิดขึ้นมาอีก อาจผลักให้คนที่อยู่ตรงกลางระหว่าง "สีเหลือง-สีแดง" ต้องเลือกยืนอยู่ข้างใดข้างหนึ่งอย่างปฏิเสธไม่ได้
ก่อนที่อุณหภูมิสังคมจะเดินหน้าถึงตรงนั้น ทุกฝ่ายต้องลดเงื่อนไขแห่งความรุนแรงและมุ่งสลายขั้วระหว่างสี ซึ่งการจะทำให้เกิดบรรยากาศอย่างนั้นได้ ต้องร่วมกัน "ติดอาวุธทางความคิด" ด้วยการสร้างค่านิยมประชาธิปไตยใหม่และยอมรับความเห็นที่แตกต่างของคนระหว่างสี
สิ่งหนึ่งที่จะสมานให้คน "สองสี" เกิดวัฒนธรรมเช่นนั้นได้ เบื้องแรกควรเพ่งพิจถ้อยคำของ "เพลงชาติไทย" ที่มีเนื้อหาหมายมุ่งให้คนไทยมีความรักความสามัคคี
และโปรดพิจารณาถ้อยคำก่อนนำเข้าสู่เนื้อเพลงชาติ อันเป็นกุศโลบายที่น่าตรึกตรองที่ว่า "เราจงร่วมใจยืนตรงเคารพธงชาติด้วยความภาคภูมิใจในเอกราชและความเสียสละของบรรพบุรุษไทย"
และร่วมกันร้องเพลงชาติไทยก่อนที่จะไม่มีสถาบันชาติให้เคารพอีกต่อไป...