สนธิแถลงยอมรับ ไปสหรัฐ วิระยาชี้พูดกำกวม


"สนธิลิ้ม"เปิดแถลงตัดพ้อไม่มีใครรู้ร้อนรู้หนาวที่ตนเองถูกลอบสังหาร ทั้งจากทหารและตำรวจ เห็นเพียงอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะคนเดียวเท่านั้นที่แสดงความเห็นใจเป็นห่วงเป็นใย ยอมรับจะเดินทางไปพักฟื้นที่ต่างประเทศจริง ไม่ใช่อินเดียหรือเนปาล เป้าหมายคือสหรัฐอเมริกา "ท่านผู้หญิงวิระยา"ระบุพูดกำกวม ท้าพูดให้ชัดใครสั่งฆ่า

เมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 3 พ.ค.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงเปิดใจกรณีถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 17 เม.ย.ว่า ประเด็นในการลอบสังหารตนแยกได้เป็น 2 มิติ โดยในฐานะแกนนำมวลชนที่ต่อสู้เรียกร้อง ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และประเด็นการลอบสังหารไม่ใช่เรื่องส่วนตัว และเปรียบเสมือนเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างว่าใครที่มีอำนาจ มีอาวุธในมือสามารถที่จะทำอะไรก็ได้

นายสนธิ กล่าวต่อว่า การลอบสังหารตนในครั้งนี้ ถือว่าหากสำเร็จจะสามารถล้มล้างรูปแบบที่ต่อสู้กันอย่างเปิดเผยจากภาคประชาชน เหมือนเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว และมีนัยทางอ้อม คือ การข่มขู่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หากฆ่านายสนธิ ได้ ก็ฆ่านายอภิสิทธิ์ ได้ หากมีการเรียกร้องมากเกินความจำเป็น จะได้รับความตายไปแทน

นายสนธิ กล่าวว่า คนร้ายที่ยิง ตนยืนยันชัดด้วยสายตาว่าถูกยิงจากคนที่ถูกฝึก เพราะเป็นท่านั่งประทับยิง เป็นท่าที่ฝึกทางการทหาร ใช้รถจำนวน 4 คัน มีผู้ที่กระทำการประมาณ 10-16 คน เชื่อว่า การกระทำครั้งนี้เป็นการร่วมมือกันของผู้ที่มีอำนาจ และคนที่ลงมือรู้เส้นทางเดินรถ มีรถจอดรอเป็นจุด แต่การยิงไม่ใช่มืออาชีพ แต่เป็นขบวนการล่าสังหาร เชื่อว่า เป็นฝีมือของทหารบางคน ไม่ใช่ฝีมือของกองทัพ เชื่อว่ากองทัพไม่ทำเรื่องน่าอัปยศเช่นนี้

นายสนธิ กล่าวว่า ตั้งแต่มีคดีลอบสังหาร ทันทีที่เกิดขึ้น ผู้ที่เกี่ยวข้อง มีเพียง นายกฯ อภิสิทธิ์ ที่เป็นห่วงเป็นใย ส่วนคนอื่นไม่ได้แสดงอาการรู้ร้อนรู้หนาว และยังแสดงอาการที่เรียกว่าปฏิเสธที่มาของอาวุธสงคราม นอกจากไม่แสดงอาการรู้ร้อนรู้หนาวแล้ว ซึ่งประเด็นของผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นและหากมองการแสดงอาการของผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ น่าที่จะออกมารูปแบบของการประณามการกระทำเช่นนี้ และไม่น่าจะให้อภัยได้เลย เนื่องจากเกิดเหตุในช่วงที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ใน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นั้น คนที่จะออกมาทำเรื่องเช่นนี้ได้ ต้องได้รับการหลิ่วตาจากผู้หลักผู้ใหญ่ ให้ทำได้ แต่ผมยังเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนนั้นเกิดขึ้นจากทหารเพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง นอกนั้นแล้ว ไม่มีส่วนรับรู้หรือรู้เห็นเป็นใจ

นายสนธิ กล่าวว่า นอกจากปฏิเสธไม่มีส่วนรับรู้แล้ว ยังมีการเข้าสู่กระบวนการเริ่มปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธว่าอาวุธสงครามแบบนี้ใครๆ ก็หาซื้อได้ รวมไปถึงการปฏิเสธเรื่องปลอกกระสุนปืน มีการโยนกันไปโยนกันมา ปฏิเสธว่า ไม่ใช่ กระทั่งมีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเพิ่งออกมาพูดเมื่อ 3-4 วันที่ผ่านมานี้เองว่าหากมีทหารเกี่ยวข้องก็จะจัดการอย่างเด็ดขาด ทั้งๆที่เรื่องเช่นนี้น่าจะมีการพูดถึงตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ แต่กลับไม่พูดเลย

นายสนธิ กล่าวว่า ส่วนที่ว่าใครเป็นคนทำนั้น ขอย้ำว่า การต่อสู้ของพันธมิตรนั้น ขบวนการทำร้ายพันธมิตรฯเป็นขบวนการที่จะเอาชีวิต เป็นขบวนการข่มขู่ต่อเนื่อง การยิงเอ็ม 79 เข้าใส่จนมีพันธมิตรเสียชีวิตไป 4 คน จนแหล่งข่าวของพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นทหารเปิดเผยว่า กลุ่มคนซึ่งยิงเอ็ม 79 เข้าในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ทำเนียบรัฐบาล สนามบินดอนเมือง และศาลรัฐธรรมนูญ นั้น เป็นกลุ่มคนคนเดียวกัน และเตรียมการที่จะยิงเข้าใส่ต่อไปอีก และมีการส่งข้อมูลไปยัง พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.และ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 เรียบร้อยแล้ว และเชื่อว่าข้อมูลที่ได้เป็นความจริง และเตรียมดำเนินการจับกุม ซึ่งเป็นทหารยศจ่าสิบเอก และข้อมูลนี้ถือเป็นข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับการเปิดเผย

นายสนธิ กล่าวว่า ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลอบยิงครั้งนี้ คือ ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม หรือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ตนคิดว่าไม่ใช่กลุ่มบุคคลเหล่านี้ และขอสมมติว่า หากเป็นบุคคลเหล่านี้จริงก็ขออโหสิกรรม ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

"ส่วนเรื่องราวของคุณวิระยา ชวกุล นั้น ก็เป็นเรื่องราวที่คุณวิระยาได้ชี้แจงออกมา ว่า ไม่ได้เกี่ยวข้อง ซึ่งผมก็ดีใจที่ท่านไม่ได้เกี่ยวข้อง ผมเป็นเพียงแต่ว่าอยากจะฝากเตือนไปนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสัจธรรม ซึ่งทุกๆ คนทราบว่าคนเรานั้นโกหกใครก็ได้ แต่โกหกกับตัวเองไม่ได้เด็ดขาด มโนธรรม สำนึก จะติดตัวอยู่จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของชีวิตจะหมดไป ก็อาจจะตายอย่างทุรนทุรายไว้ก็ได้ว่าในชีวิตเคยทำผิดอะไรไว้ เพราะฉะนั้นแล้ว ผมดีใจที่ คุณวิระยา ชวกุล ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ ผมก็อนุโมทนาสาธุให้ด้วย ส่วนเรื่องราวต่างๆ นั้น ผมคงจะไม่เล่าอะไรให้ฟัง ประเดี๋ยวผมจะแจกเอกสารเรื่องเกี่ยวกับราชเลขาฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ แจ้งด่วนมหาดไทยสั่งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศหยุดบีบขายเสื้อ สก. เดี๋ยวท่านเอาเอกสารไปคนละชุด ท่านอ่านแล้วใช้วิจารณญาณของท่านเองดูก็แล้วกันว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร" นายสนธิระบุ

นายสนธิ กล่าวว่า ขอปฏิเสธกระแสข่าวว่าตนเริ่มถอดใจและเตรียมตัวหลบหนีไปอยู่ที่ต่างประเทศว่า ไม่เป็นความจริง อย่างไรก็ตาม ตนมีแผนที่เดินทางไปต่างประเทศในเร็ววันนี้จริง แต่เพื่อไปใช้เวลาพักฟื้นร่างกาย แต่คงเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ยืนยันว่า ไม่ใช่ที่ประเทศอินเดีย หรือเนปาล อย่างแน่นอน แต่จะไปสหรัฐ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่ามีการคาดหมายกันว่าภายในเดือนพ.ค.นี้ อาจมีความคืบหน้าด้านคดี จึงไม่อยากอยู่เป็นตัวละคร และเพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างอิสระ จึงใช้โอกาสนี้ไปพักฟื้นร่างกาย หลังจากนั้น จะกลับมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องการเมืองใหม่อย่างแน่นอน เพราะจากการรอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์ในครั้งนี้ ถือว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้มอบหมายภารกิจเพื่อปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ต่อไป

หลังการแถลงข่าว นายสนธิ ได้แจกเอกสารกรณีท่านผู้หญิงวิระยาซึ่งอ้างอิงตอนแถลงข่าว ปรากฏว่า เป็นเพียงเอกสารถ่ายสำเนาหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 3 พ.ค.2547 ซึ่งเสนอข่าวว่าราชเลขาธิการในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ทำหนังสือถึงปลัดกระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศเพื่อขอให้ยุติการจำหน่ายเสื้อสก. ที่จัดทำโดยมูลนิธินพรัช-รัตนโกสินทร์ จำนวน 2 ล้านตัว ที่ท่านผู้หญิงวิระยาเป็นประธาน โดยออกหนังสือเวียนถึงหน่วยงานในจังหวัด

จากนั้น นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ แถลงต่อว่า กลุ่มพันธมิตรฯได้เตรียมจัดงานครบรอบ 1 ปีการชุมนุมยืดเยื้อ 193 วันของพันธมิตรฯที่เริ่มนับ 1 ในวันที่ 25 พ.ค. โดยจะจัดงานรำลึกที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยเชิญพันธมิตรฯทั่วประเทศมาร่วม และจะขอให้ส่งตัวแทนมาร่วมประชุมเพื่อวางท่าทีต่อการที่รัฐบาลจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งพันธมิตรฯไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ด้านนายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า จะคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านประชามติ 14 ล้านเสียง ส่วนนื้อหาที่จะแก้รัฐธรรมนูญก็คงหนีไม่พ้นเปิดช่องให้มีการนิรโทษกรรมให้พวกฉ้อฉล พฤติกรรมนักการเมืองในวันนี้ถึงจะแก้รัฐธรรมนูญอีกสักกี่ครั้งกี่ฉบับ ก็ไม่สามารถปฏิรูปไปสู่การเมืองใหม่ได้

นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า รูปแบบการจัดงานครบรอบ 1 ปีของการต่อสู้ของพันธมิตรฯ 193 วัน วันที่ 24 พ.ค.จัดสัมมนาในลักษณะรับฟังความคิดเห็น แต่ละจังหวัดจะส่งตัวแทนกันเข้ามาเพื่อให้ครอบคลุมเครือข่ายมากที่สุด ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 25 พ.ค.นี้ จึงขอเชิญชวนพี่น้องพันธมิตรฯเข้าร่วมชุมนุมอย่างทั่วทุกสารทิศ และจะประกาศเรื่องจุดยืนในการตั้งพรรคการเมืองในวันดังกล่าวด้วย

วันเดียวกัน ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ประธานกรรมการเลขาธิการมูลนิธิบำรุงขวัญทหาร ตำรวจ อาสาสมัครชายแดน ในพระบรมราชินูปถัมภ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้ฟังคำแถลงข่าวของนายสนธิ ด้วยตนเอง เพราะขณะนั้นออกรอบตีกอล์ฟอยู่ แต่ได้รับทราบมาบ้างว่ามีการระบุถึงตน อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะไม่เคยฟังและไม่เคยสนใจคำพูดของนายสนธิอยู่แล้ว เพราะนายสนธิ ไม่ชอบตนอยู่แล้ว ดังนั้นอยากจะออกมาพูดอะไรก็พูดได้ เป็นความคิดของเขา แต่ความจริงก็คือความจริง ตนยืนอยู่บนความถูกต้อง ไม่โกหกใคร ไม่หลอกตัวเอง ดังนั้นจึงไม่เดือดร้อนอะไรกับคำพูดของนายสนธิ เพราะคนรอบตัวที่รู้จักตนเข้าใจดีว่าอะไรคือความจริง ส่วนสังคมจะคิดอย่างไรก็เป็นสิทธิ์จะเชื่อหรือไม่เชื่อคำพูดของนายสนธิก็ได้ ตนไปบังคับใครไม่ได้ นั่นคือสัจธรรม และตนมีคติส่วนตัวว่า เมื่อทำดีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมคุ้มครอง เราไม่คิดทำร้ายใคร ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ไม่อิจฉาริษยา และยืนอยู่บนความถูกต้อง

"คนเราเกิดมาอาจทำผิดได้ แต้ถ้ารู้ว่าทำผิดก็ต้องแก้ไข ทุกข้อกล่าวหาย่อมมีข้อพิสูจน์ในตัวเองอยู่แล้ว เช่นเดียวกับกรณีการลอบสังหารนายสนธินั้น ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ในวงที่นายสนธินำชื่อมารวมไว้ทั้งหมด รู้ดีว่าเรื่องราวจริงๆ เป็นอย่างไร และส่วนตัวก็เห็นด้วยกับนายสนธิ ที่ต้องการให้นายกฯ เร่งติดตามคดีนี้ เพื่อให้ชัดเจนไปเลยว่าใครต้องการฆ่านายสนธิ เพราะดิฉันก็อยากรู้ ประชาชนก็อยากรู้ อีกทั้งก็อยากให้นายสนธิ ออกมาพูดให้ชัดเจนไปเลยด้วยว่า นายสนธิคิดว่าใครเป็นคนทำ เพราะนายสนธิเคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า รู้ว่าใครทำ ดังนั้นเมื่อรู้ว่าใครก็ควรจะบอกมา ซึ่งดิฉันและสังคมเองก็รอฟังอยู่ตลอดว่าใครทำ ไม่ใช่ออกมาพูดแล้วให้คนตีความกันไป แล้วก็มาบอกว่าไม่เชื่อว่าเป็นท่านผู้หญิงวิระยา แต่พูดไปพูดมาก็ฝากต่อท้ายมา อย่างนี้แปลว่าอะไร" ท่านผู้หญิงวิระยา กล่าว

เมื่อถามว่าจะมีการดำเนินทางกฎหมายหรือไม่ ท่านผู้หญิงวิระยา กล่าวว่า ส่วนตัวแล้วไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนอะไร เพราะไม่หวั่นไหวอยู่แล้ว ซึ่งหากรู้ว่าตัวเองทำผิดอาจจะกลัวก็ได้ แต่ตนถือว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ดังนั้นจึงไม่รู้สึกอะไร โดยเฉพาะเรื่องที่กล่าวหาว่ามีการบังคับขายเสื้อฟ้า นั้น ตนยืนยันว่าดำเนินการอยู่บนความถูกต้อง การที่จะเอาเสื้อออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษคือจำคุก ตนจะไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร อีกทั้งเรื่องนี้ก็เคยมีการกล่าวหากันผ่านสื่อ มีการชี้แจงและพิสูจน์ข้อเท็จจริงกันไปแล้วว่าไม่เป็นความจริง ตนและปลัดกระทรวงมหาดไทยถูกใส่ความ ซึ่งส่วนตัวแล้วก็อยากเห็นเอกสารของนายสนธิ ที่ระบุว่า ราชเลขาธิการในสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ แจ้งด่วนไปยังกระทรวงมหาดไทยสั่งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศหยุดบีบขายเสื้อ สก ซึ่งวันที่ 4 พ.ค.นี้ อาจจะติดตามสอบถามข้อเท็จจริงไปยังสำนักพระราชวัง เพื่อขอตรวจสอบดูด้วย ส่วนเรื่องการฟ้องร้องดำเนินคดีนั้น มีคนถามมามากเหมือนกัน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พัวพันกับสถาบันหากมีการกล่าวหาฟ้องร้องกันจะให้มาเป็นพยานได้หรืออย่างไร ดังนั้นตนคงไม่ดำเนินการอะไรเพราะไม่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ อยู่เฉยๆ ดีที่สุด แต่ขณะนี้สังคมอยากรู้อย่างเดียวคือใครทำ ดังนั้นนายสนธิ ก็ควรออกมาพูดความจริง ไม่ใช่ปล่อยให้สังคมคาดเดากันไปเอง

"ต้องขอบคุณน้องๆ และเพื่อนทุกคนที่รักและเป็นกำลังใจให้ เพราะหลังจากที่ถูกโจมตี มีกำลังใจฝากเข้ามามาก ทำให้รู้ว่าตัวเองก็มีแฟนคลับเยอะเหมือนกัน เพราะคงรู้ว่าจริงๆ คืออะไร อย่างไรก็ตามหากมาถามตอนนี้ ดิฉันก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่า ในความรู้สึกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จงรักภักดี เพราะจากวิจารณญาณส่วนตัวเชื่ออย่างนั้น แต่เมื่อพูดไปแล้วก็เลยเกิดเป็นปัญหาเล่นงานมาจนถึงปัจจุบัน ก็ตลกดี เหมือนเรื่องโจ๊กใส่ไข่" ท่านผู้หญิงวิระยา กล่าว

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์