วิสุทธิ์ฉลุยนั่งกกต. วุฒิลงมติ107ต่อ11 แม้เคยต้องคำพิพากษา

หลังประชุมลับ 20 นาที? พิจารณารายงานการตรวจสอบประวัติ แม้เคยต้องคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อครั้งเป็น ป.ป.ช.ออกระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนให้ตัวเอง

วันนี้ (1 พ.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมวุฒิสภา โดยมีนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เป็นประธานที่ประชุม โดยมีการพิจารณาเรื่องด่วนที่คณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ พฤติกรรมทางจริยธรรมของนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น บุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้งได้รวบรวมความเห็นเสนอที่ประชุมวุฒิสภา ซึ่งนายจำนงค์ สวมประคำ ประธานคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติได้รายงานต่อที่ประชุมว่า ผลการตรวจสอบพบว่านายวิสุทธิ์ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 230 ของรัฐธรรมนูญ แต่โดยที่มาตรา 229 ของรัฐธรรมนูญบัญญัติให้คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องเป็นผู้ซึ่งมีความเป็นกลางทางการเมืองและซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

จึงมีข้อสังเกตว่านายวิสุทธิ์ เคยต้องคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อครั้งเป็น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

เรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการในการออกระเบียบ ป.ป.ช.ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนให้ตัวเอง ซึ่งศาลเห็นว่าจำเลยทั้งเก้าร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และต่อมาเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2550 ได้มีประกาศใช้บังคับพ.ร.บ.ล้างมลทิน จึงถือว่าผู้ต้องโทษในความผิดต่างๆที่ได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 5 ธ.ค. 2550 ให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้นๆ แต่ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ให้คำอธิบายความหมายของการ 'ล้างมลทิน' ไว้ว่าการล้างมลทินมีผลเป็นการล้างมลทินเฉพาะโทษที่ผู้ต้องโทษได้รับเท่านั้น มิได้มีผลเป็นการลบล้างการกระทำความผิดอันเป็นเหตุให้ถูกลงโทษนั้นด้วย จึงเป็นเรื่องที่สมาชิกวุฒิสภาจะต้องวินิจฉัยเอง

จากนั้นนายจำนงค์ ได้ขอให้มีการประชุมลับ เพื่อพิจารณารายงานการตรวจสอบประวัติในทางลับทันที ซึ่งภายหลังใช้เวลาประชุมลับนาน 20 นาที แต่สุดท้ายที่ประชุมก็ลงมติออกเสียงลงคะแนนโดยใช้วิธีลับเห็นชอบให้นายวิสุทธิ์ดำรงตำแหน่ง กกต.ด้วยคะแนนเสียง 107 ต่อ 11 งดออกเสียง 12