คมชัดลึก : หลังจากกลุ่มเสื้อแดงพ่ายทัพจากการก่อเหตุจลาจลกลางกรุง กลับไปตั้งหลักชั่วคราวหลังจากที่รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ห้ามชุมนุมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
พอไล่หลังไม่กี่วันหลังรัฐบาลประกาศยกเลิก พ.ร.บ.ฉุกเฉิน กลุ่มเสื้อแดงก็กลับมาชำระแค้นอีกครั้ง ที่ท้องสนามหลวง
แม้หลายฝ่ายจะมองว่าการคืนชีพของคนเสื้อแดงครั้งนี้ เป็นการแก้บน และเกิดอาการเก็บกด จากความพ่ายแพ้ ในช่วงสงกรานต์วิปโยค แต่การกลับมาครั้งนี้ถือเป็นส่งสัญญาณที่น่าสะพรึงกลัวไม่ใช่น้อย
เพราะจากเดิมมีการสวมเสื้อแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจน แต่การกลับมาครั้งนี้กลุ่มคนเสื้อแดงกลับมาในรูปแบบคละสี แต่มีหัวใจเป็นสีแดง
นั่นจึงเท่ากับว่า "สงครามยกสอง" ได้เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีรูปแบบเป็นการเปลี่ยนสีเสื้อเท่านั้น
จากบทเรียนจากความพ่ายแพ้ของคนเสื้อแดง ทำให้การชุมนุมครั้งนี้ปรับตัวได้ทัน เพราะเห็นว่าคนเสื้อแดงไม่มีที่ยืนในสังคม และไม่ได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ จากภาพการก่อจลาจลแบบบ้าคลั่งกลางกรุง จนทำให้สังคมเกิดการหวาดกลัว
แต่ความพ่ายแพ้ครั้งนั้น ยังทำให้เกิดความคั่งแค้นอยู่ในส่วนลึกของคนเสื้อแดง และวันนี้กำลังจะกลายเป็นเชื้อไฟให้แกนนำคนเสื้อแดง นำไปใช้ปลุกปั่นและสร้างกิจกรรมในการเรียกร้องเพื่อการต่อสู้ครั้งใหม่
เห็นได้จากยกแรกเป็นการประกาศโค่นล้มระบอบอำมาตยาธิปไตย ผ่านการโจมตี "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เพื่อทวงถามประชาธิปไตย
การกลับมาเที่ยวนี้จึงเป็นการต่อยอดของเดิมโดยยังคงเอาประชาธิปไตยมาบังหน้า แต่เกมการต่อสู้กลับเป็นการเล่นกับความรู้สึกของสังคม ด้วยประเด็นประโคมข่าวการใช้กำลังความรุนแรงของรัฐบาล จนทำให้เกิดการเสียชีวิต แถมมาในรูปแบบใหม่เป็นคละสี เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม
เห็นได้จากความพยายามของพลพรรคเพื่อไทยที่พยายามนำประเด็นเรื่องการเสียชีวิตและความรุนแรงไปอภิปรายในสภา พร้อมทั้งนำวิดีโอตัดต่อภาพความรุนแรงและ ศพ ขึ้นมาสอบถามรัฐบาลกลางสภา
ดังนั้นความพยายามป้ายสีรัฐบาลว่า มือเปื้อนเลือด จึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นในการเคลื่อนไหวต้อนรับการกลับมาของกลุ่มคนเสื้อแดงอีกครั้ง
ท่ามกลางสถานการณ์ที่คนไทยแตกแยก แบ่งสีเลือกข้างอย่างชัดเจน จึงเป็นหน้าที่หลักของรัฐบาลที่ต้องเร่งหาทางเยียวยาและยุติความขัดแย้ง
โดยเฉพาะประเด็นอ่อนไหวเรื่องจำนวนผู้เสียชีวิต ที่กลายเป็นประเด็นหลักในการต่อสู้ของคนเสื้อแดงไปแล้ว ยิ่งนานไปจะกลายเป็นความคับแค้นและขยายบานปลายออกไป
แม้ว่ารัฐบาลโดย "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี พร้อมที่จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบประเด็นเรื่องคนหายและเสียชีวิตในทุกแง่ ทุกประเด็น ทั้งในและนอกสภา ด้วยการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพร้อมให้องค์กรต่างๆ เข้ามาร่วมตรวจสอบ
แต่ทั้งหมดนี้รัฐบาลต้องดำเนินการด้วยความจริงใจ เพื่อให้กระบวนการรักษาใจของคนเสื้อแดงให้หายคับแค้นไปได้โดยเร็วที่สุด แม้จะต้องใช้เวลานานก็ตาม
และอย่าลืมว่า นาทีนี้กระบวนการต่อสู้ของคนเสื้อแดง ได้มีการแปรเปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว โดยจะไม่ใช้สัญลักษณ์ของสีเสื้อในการเคลื่อนไหวอีกต่อไป
นี่จึงเป็นภาระที่หนักอึ้งของรัฐบาล เพราะการเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้ที่แยบยล ผ่านรูปแบบใต้ดิน จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะความพยายามในการเข้าใจปัญหา ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ ผ่านกระบวนการรับฟัง และเสนอแนะ พร้อมร่วมหาทางออกของปัญหาอย่างจริงใจ
การโยนเสื้อแดงทิ้ง มาใส่เสื้อคละสี ก็เป็นการบ่งบอกให้เห็นชัดเจนแล้วว่าเกมการต่อสู้พร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาของชัยชนะ โดยเฉพาะคนที่อยู่เบื้องหลังอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ยังเป็นแกนนำเคลื่อนไหวในต่างแดน
ซึ่งการปลุกเชื้อคนเสื้อแดงขึ้นมาครั้งนี้ เพื่อเป็นการนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้ง ระหว่างวันที่ 17-20 พฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
ถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่แยบยลของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ต้องการอาศัยช่วงจังหวะในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เพื่อหวังกระพือเป้าหมายของการต่อสู้
โดยอาศัยช่องว่างความขัดแย้งทางความคิดของคนไทยด้วยกันที่ฝังรากยังลึกมานานในประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อในอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน มาเป็นตัวขับเคลื่อน
จึงอย่าได้แปลกใจที่มีกระแสข่าวกลุ่มซ้ายในอดีตเข้าร่วมขบวนการกับกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยเพื่อต่อสู้ในกระบวนการใต้ดิน
เรื่องนี้แกนนำรัฐบาลรู้ดีอยู่เต็มอก และพยายามแยกแยะกลุ่มคนต่างๆ ที่เข้ามาร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงออกจากกัน ผ่านทางอดีตแกนนำกลุ่มซ้ายจัดเช่นเดียวกันเพื่อหาแนวร่วมในการต่อสู้และรับมือกับเกมใต้ดิน
โดยคนในรัฐบาลมีการประเมินว่ามีความพยายามที่จะชักพาสถานการณ์ให้ย้อนหลังกลับไปสู่ยุค 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 อีกครั้ง ผ่านอดีตนักศึกษาที่เคยเป็นหัวหอกในยุคนั้น ที่มารับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ
ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลที่รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาด้วยการดึงเกมทั้งหมดกลับเข้าสู่สภาอีกครั้ง ด้วยการร่วมกันหาทางออกที่เป็นต้นตอของปัญหา
หากผลประโยชน์ไม่บังตา เชื่อว่ารัฐบาลคงฝ่าวิกฤตินี้ไปได้ไม่ยาก
บัญชา แข็งขัน