บทสรุป อดีต กกต.

จากเหตุการณ์ที่กลุ่มผู้ให้การสนับสนุน


พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร อดีต กกต. ทั้ง 3 คน ก่อเหตุความวุ่นวายและใช้ถ้อยคำหยาบคายในบริเวณศาลอาญา รวมไปถึงนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ รักษาการรองหัวหน้าพรรคชาติไทย ที่นำกาแฟเย็นและข้าวผัดโดยอ้างว่าไปเยี่ยม อดีต กกต.ทั้ง 3 คน เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ที่ผ่านมานั้น ล่าสุดศาลได้นัดพิพากษาและสั่งจำคุกแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมโดยไม่รอลงอาญา

พิพากษาคดีกลุ่มผู้ชุมนุมก่อกวนศาล


เมื่อวันที่ 3 ส.ค. เวลา 14.00 น. ที่ห้องพิจารณา 704 ศาลอาญา โดยนายปุณณะ จงนิมิตรสถาพร และนายอนันต์ แสนคุ้ม รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งในคดีที่นายสมบูรณ์ ช่วยรักษา ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลอาญา กล่าวหา นางลาวัลย์ สุทธิชัยศิริ น.ส.ฐิติรัตน์ สุรัตนกุลชัย นายสมชาย รัตทวย นางวลัยพร พรรณบุปผา นายเสริมศักดิ์ เอกวัฒน์ นายสมยศ ดวงพัตรา นางธรรมรส สุนทรพล นายยุทธนา ฉายสินสอน นางวรรณา ไหมสีทอง นางธนนันท์ ประถมเสาร์ นางเรณู จิตร์ประสาน และนางมะลิ เนตรขำ เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 1-12 ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

ศาลพิเคราะห์ภาพเหตุการณ์จากเทปบันทึกภาพ


ประกอบคำรับสารภาพของผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 12 คนแล้ว พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 12 คน เป็นการรวมตัวกันก่อความวุ่นวายขึ้นในบริเวณศาล

ผู้ถูกกล่าวหาบางคนใช้ คำพูดเสียดสี ตะโกนด่าทอผู้อื่นด้วยถ้อยคำหยาบคาย

บางคนพูดยั่วยุและท้าทายพวกที่มีความเห็นไม่ตรงกัน

บางคนข่มขู่ศาลเพื่อให้มีคำสั่งตามที่ต้องการ

บางคนพูดหมิ่นศาลเมื่อไม่พอใจในคำพิพากษา

บางคนใช้กำลังคำร้ายร่างกายผู้อื่นในเขตอำนาจศาล


ถือว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 12 คน ประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31, 33 ประกอบประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15

ให้รอลงอาญา 1 ปีทั้งหมด 9 คน


คำสั่งศาลระบุด้วยว่า พฤติการณ์ของนางลาวัลย์ นางวลัยพร นางธรรมรส นายยุทธนา นางวรรณา และนางธนนันท์ ไม่ร้ายแรงนัก ประกอบกับได้สำนึกผิด เข้ามอบตัวยอมรับผิดในการกระทำของตัวเอง และไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี จึงให้รอการกำหนดโทษไว้คนละ 1 ปี โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามกระทำการ หรือเข้าเกี่ยวข้องกับกิจกรรมใดๆ อันจะก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง หรือนำไปสู่ความแตกแยกในหมู่ประชาชน ภายในกำหนดเวลา 1 ปี รวมทั้งนายสมชาย นายเสริมศักดิ์ และนายสมยศ ลงโทษจำคุกคนละ 1 เดือน โดยให้รอการลงโทษจำคุกไว้คนละ 1 ปี และปรับคนละ 500 บาท

อีก 3 คนถูกจำคุกทันที 1 เดือน


ส่วนนางฐิติรัตน์ นางเรณู และนางมะลิ นั้นได้สำนึกผิดเข้ามอบตัว เห็นสมควรลงโทษสถานเบา จำคุกคนละ 1 เดือน แต่พฤติการณ์ในการกระทำความผิดนั้นมีลักษณะก้าวร้าว และดูหมิ่นศาลด้วยถ้อยคำหยาบคายอย่างรุนแรงที่บริเวณหน้าศาล โดยปราศจากความเคารพยำเกรงต่อกฎหมาย โดยเฉพาะนางฐิติรัตน์ นั้น ยังได้พูดลักษณะเป็นการข่มขู่ศาลให้ประกันตัวอดีต กกต.ทั้ง 3 คน มิฉะนั้นจะนองเลือด พร้อมพูดปลุกเร้าให้ผู้ที่ชุมนุมขึ้นไปบนอาคารที่ทำการของศาล เพื่อกดดันให้ศาลทำในสิ่งที่ต้องการ อันเป็นการหวังที่จะใช้มวลชนเข้ามาแทรกแซงอำนาจศาล พฤติการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะกระทำด้วยความคิดของตนเองหรือมีบุคคลอื่นบงการอยู่เบื้องหลัง ก็ถือว่าเป็นภัยอย่างร้ายแรงต่อกระบวนการยุติธรรม ไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกให้

สั่งจำคุก 3 เดือนคนพูดโทรโข่ง


นอกจากนี้ ศาลยังได้อ่านคำสั่งอีกสำนวนหนึ่ง ที่นายสมบูรณ์ ช่วยรักษา ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลอาญา ผู้กล่าวหา กล่าวหานางสุชาดา รวมศิลป์ และนายเสถียร วิพรมหา เลขาธิการเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 1-2 ในความผิดฐานละเมิด เช่นเดียวกับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 12 คนที่เข้ามอบตัวกับศาลเป็นชุดที่ 2 โดยคำสั่งมีใจความว่า สำหรับนางสุชาดาผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 นั้น ได้ลงโทษจำคุก 1 เดือน ปรับ 500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ด้านนายเสถียร ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ในวันเกิดเหตุได้พูดผ่านโทรโข่ง ในลักษณะดูหมิ่นศาล การกระทำของนายเสถียรที่พูดผ่านโทรโข่งนั้นก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ อีกทั้งในการพูดยังกล่าวด้วยถ้อยคำมีน้ำเสียงสูง ต่ำ เป็นวรรค เป็นตอน พร้อมแสดงท่าทางให้ผู้ร่วมชุมนุมเกิดความฮึกเหิมยิ่งขึ้น จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล หลังจากที่กระทำผิดแล้วนายเสถียรได้เข้ามอบตัวต่อศาล แต่ยังไม่สำนึกในการกระทำผิด กรณีมีเหตุอันควรปรานีอยู่บ้าง ให้ลงโทษจำคุก 3 เดือน

ชูวิทย์ หวิวศาลมีคำสั่งปรานี


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากอ่านคำสั่งของกลุ่มผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 14 คนเสร็จสิ้น ศาลอาญาโดยนายอำนวย ธันธรา พร้อมองค์คณะ ได้อ่านคำสั่งในคดีที่นายสมบูรณ์ ช่วยรักษา ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลอาญา กล่าวหานายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ รักษาการรองหัวหน้าพรรคชาติไทย เป็นผู้ถูกกล่าวหา ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการที่นายชูวิทย์ นำเอากาแฟเย็นและข้าวผัดเข้ามาในบริเวณศาล โดยอ้างกับกลุ่มบุคคลที่ให้การสนับสนุน กกต.ว่า ต้องการนำไปมอบให้กับอดีต กกต.ทั้ง 3 คน ทั้งๆที่นายชูวิทย์ ไม่ได้มีเจตนาที่จะไปเยี่ยมแต่อย่างใด พฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่า นายชูวิทย์ต้องการประชดประชันอดีต กกต.ทั้ง 3 คน เป็นการกระทำที่ผิดกาลเทศะ ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกับกลุ่มผู้ให้การสนับสนุนอดีต กกต.จนเกิดความวุ่นวายขึ้น นายชูวิทย์ประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล หลังเกิดเหตุนายชูวิทย์สำนึกผิดและขอโอกาสในการปรับปรุงตัวเอง เมื่อคำนึงถึงสภาพความผิดแล้ว เห็นสมควรรอการกำหนดโทษนายชูวิทย์ เพื่อให้โอกาสกลับตัวภายในกำหนด 1 ปี

ยันผู้พิพากษาไปคุมเลือกตั้งยาก


วันเดียวกัน ที่ศาลฎีกา นายจรัญ ภักดีธนากุล เลขาธิการประธานศาลฎีกา กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายเสนอให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลทั่วประเทศทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จังหวัดชั่วคราวเพื่อให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปโดยสุจริตและยุติธรรมว่า ในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยาก เพราะผู้พิพากษามีอำนาจหน้าที่ตาม ป.วิอาญา และการพิจารณาคดีที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่พิจารณาพิพากษาความ การกระทำผิดที่มีโทษอาญาที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ดังนั้น หากให้ผู้พิพากษาไปทำหน้าที่ กกต.ระดับจังหวัดก็จะขัดกับหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดี จึงไม่เหมาะสมที่จะเป็นประธาน กกต.จังหวัด แต่อาจเป็นไปได้ที่จะให้ระดับผู้อำนวยการสำนักงานศาลจังหวัดระดับซี 8 หรือซี 9 ไปทำหน้าที่ช่วยงานใน กกต.จังหวัดได้ ส่วนกรณีที่มีผู้พิพากษาบางท่านเห็นว่าการเสนอชื่อนายสวัสดิ์ โชติพานิช อดีต กกต.เข้ารับการสรรหาเป็น กกต.ในคราวนี้อีกไม่ได้เพราะขัดรัฐธรรมนูญนั้น ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 322 วรรคแรกไม่ห้ามผู้ที่เคยเป็น กกต.จะได้ถูกเสนอตัวเป็น กกต.อีกครั้งแต่อย่างใด

สุชนเปิดตู้ ปณ.รับข้อมูลร้องเรียน


ด้านนายสุชน ชาลีเครือ รักษาการประธานวุฒิสภา กล่าวว่า เท่าที่ดูหน้าตาของผู้ถูกเสนอชื่อเป็นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้ง 42 คนแล้ว ในภาพรวมถือว่าดูดี หวังว่าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะสรรหาคนที่มีตำหนิน้อยที่สุดมาให้วุฒิสภา เพื่อที่จะได้ตรวจสอบประวัติและความ ประพฤติน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม คงพูดอะไรไม่ได้มากกว่านี้ จะต้องรอให้ที่ประชุมศาลฎีกาส่งรายชื่อมาให้ก่อน แต่ขอยืนยันว่าจะทำให้เร็วที่สุด ทั้งนี้ได้สั่งการให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเปิดตู้ ปณ.45 ปณฝ.รัฐสภา กรุงเทพฯ 10305 เพื่อให้ประชาชนและบุคคลทั่วไปได้ส่งข้อมูลประวัติ และความประพฤติของที่ถูกเสนอชื่อทั้ง 42 คน มาเป็น ข้อมูลเบื้องต้นหรือส่งข้อมูลทางเว็บไซต์

แหล่งที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์