คมชัดลึก : ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียเหลือเกิน ที่ทันทีที่แกนนำเสื้อแดงสมุน "น.ช.ทักษิณ ชินวัตร" ขู่เดินเกมใต้ดินภายหลังถูกสลายการชุมนุมไปเมื่อวันที่ 13 เมษายน
เช้าตรู่วันที่ 17 เมษายน ก็เกิดรายการกราดยิงถล่มเจ้าพ่อวงการสื่อสารมวลชนจากค่ายผู้จัดการ สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำเสื้อเหลือง "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย"
ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า ศัตรูที่หมายเอาชีวิตของแกนนำเสื้อเหลืองคนนี้เป็นใคร มาจากไหน
แต่มีการสันนิษฐานไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะ "ฝ่ายเสื้อแดง" โบ้ยว่า "สนธิ" ศัตรูเยอะไปหมด เพราะด่ากราดทั้งตำรวจ ทหาร นักการเมือง ฯลฯ
กระนั้นเมื่อดูเหตุปัจจัย รวมถึงสถานการณ์ที่ "บังเอิญ" จนผิดสังเกตนั้น มันก็น่าจะมีอะไรในกอไผ่อยู่พอสมควร
อย่างน้อยประเด็นสำคัญของการก่อเหตุครั้งนี้ ย่อมต้องมุ่งหวังผลให้บ้านเมืองอยู่ในสภาวะ "อนาธิปไตย"
เป็นภาวะที่กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้ได้
เป็นภาวะที่อำนาจรัฐควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองไม่ได้
เป็นความต้องการให้บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพ "ไม่น่าไว้วางใจ" ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลในการเร่งจัดการประชุมอาเซียนบวกสาม บวกหก รอบใหม่
นอกจากนั้นก็ยังเป็นความพยายามให้เกิดความหวาดระแวงในหมู่ประชาชนที่สนับสนุนรัฐบาล และเกิดความกินแหนงแคลงใจในหมู่คนเสื้อเหลือง ต่อการบังคับใช้กฎหมายและควบคุมสถานการณ์ของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้จะยังไม่แน่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นหนึ่งใน "เกมใต้ดิน" ที่ฝ่ายเสื้อแดงประกาศไว้หรือไม่
หรืออาจจะเป็นการฉวยโอกาส "วางยา" โดยหนอนบ่อนไส้ในฝ่ายอำนาจรัฐที่ยังจงรักภักดีต่อระบอบทักษิณ
หรืออาจจะเป็นการฉวยโอกาสของ "กลุ่มอำนาจใหม่" ตามที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปักใจเชื่อว่าต้องการให้เกิดการปะทะกันของเสื้อแดงและเสื้อเหลือง
เพื่อต้องการสถาปนา "อำนาจใหม่" !
แต่เกมการเมืองหนนี้ก็สอดรับกับกระแสการเคลื่อนไหวโดยกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ได้พยายามขยายปมความขัดแย้งในสังคม ด้วยการดิสเครดิตรัฐบาลและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอย่างพอเหมาะพอดี
ฉะนั้นสถานการณ์บ้านเมืองนับจากนี้ จึงอยู่ในภาวะที่ยังไม่สงบ
กระนั้นเมื่อดูความเคลื่อนไหวจากฝ่ายของ "น.ช.ทักษิณ" จะเห็นว่าคลื่นใต้น้ำจากฝ่ายเสื้อแดง และเครือข่ายแนวร่วมเตรียมกำลังไว้พร้อมแล้ว และพร้อมปฏิบัติการอย่างเป็นทางการทันทีที่มีการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
มีรายงานจากสายข่าวความมั่นคงระบุว่า การแก้เกมนับจากนี้ ฝ่ายเสื้อแดงจะเปลี่ยนยุทธศาสตร์การต่อสู้ใหม่
ลดเงื่อนไขในการนำ "น.ช.ทักษิณ" มาเป็นตัวเอกของขบวนการเรียกร้อง เพื่อไม่ให้ถูกโจมตีว่าเป็นการเรียกร้องเพื่อคนเพียงคนเดียว
เพราะในเวลานี้ "น.ช.ทักษิณ" ก็เสียเครดิตอย่างมากจากสังคมไทยและสังคมโลกจากการปลุกระดมเสื้อแดงจนเกิดเหตุป่วนบ้าน-เผาเมือง
นอกจากนั้นยังเตรียมเปลี่ยนตัวแกนนำชุดใหม่ โดยให้ "จาตุรนต์ ฉายแสง" ขึ้นมามีบทบาทแทนแกนนำรุ่นก่อนซึ่งสังคมไม่ให้ความเชื่อถือ
สังเกตได้จากการแตะมือระหว่างแกนนำรุ่นก่อน มาที่สมาชิกบ้านเลขที่ 111 โดยงานแรกประเดิมด้วยการเตรียมแฉภาพที่อ้างว่ามีเสื้อแดงเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม
รวมถึงมีการตั้งโต๊ะรับแจ้งผู้สูญหายจากการชุมนุมอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
โดยดึงเอาเครือข่ายนักศึกษาอย่าง "สนนท." มาเป็นแนวร่วมสำคัญ
มีการเปลี่ยนเป้าหมายการโจมตีและขับไล่จากองคมนตรี มาเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยเพียวๆ โดยเฉพาะประเด็นเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ที่น่าสังเกตก็คือ ขบวนการเคลื่อนไหวนับจากนี้ มีความพยายามจากแกนนำเสื้อแดง โดยเฉพาะ จตุพร พรหมพันธุ์ ที่เชื่อมโยงเหตุการณ์ในปัจจุบันให้ซ้ำรอยเหตุการณ์เข่นฆ่านักศึกษาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519
มีความพยายามตระเตรียมกำลังพลให้เข้าอีหรอบเดียวกับเหตุการณ์ 6 ตุลา นั่นคือฐานที่มั่นในภาคเหนือและอีสาน เพื่อรอปฏิบัติการ "ยึดคืน" อำนาจรัฐ
ขณะเดียวกัน หากหันไปมองตามสมมติฐานของฝ่าย "เสื้อเหลือง" สถานการณ์นับจากนี้ก็สุ่มเสี่ยงอย่างมากต่อการเกิดจลาจลรอบสองที่รุนแรงกว่า
และคำเตือนที่กลุ่มพันธมิตรมีไปถึง "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ก็น่ารับฟังไม่น้อย
เพราะในความเป็นจริง "อภิสิทธิ์" เองก็รู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองอยู่ในสถานะที่ "ไม่ปลอดภัย"
โดยมีการตั้งข้อสังเกตกันมากว่า "บิ๊ก ป." และ "บิ๊ก พ." ดูเหมือนมีเจตนาใส่เกียร์ว่างด้วยเจตนาบางอย่าง
ฉะนั้นสถานการณ์จึงซับซ้อนซ่อนเงื่อนกว่าที่คิด
ที่สำคัญน่าสนใจว่า "ใคร" ได้ประโยชน์จากเกมใต้ดินในครั้งนี้ ?
ว่ากันว่า หาก "อภิสิทธิ์" ไม่รู้เท่าทันสถานการณ์ ไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของผู้รอจังหวะฉกฉวยโอกาส รวมถึงไม่ตัดสินใจ "ตัดเนื้อร้าย"
อะไรๆ ที่จะเกิดนับจากนี้ อาจเลวร้ายเกินกว่าที่ใครจะคาดถึงก็เป็นได้ !
โต๊ะข่าวการเมือง