คมชัดลึก :พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ระบุเหตุลอบยิงเกิดเมื่อใดก็ได้ ปัดตอบทหารเอี่ยวลอบยิง"สนธิ ลิ้มทองกุล" ยันไม่มีผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมขอเอาชีวิตเป็นเดิมพัน พันธมิตรฯจวกกลไกรัฐสิ้นสภาพปล่อยคนร้ายยิง “สนธิ”- หนุนนายกฯ เปลี่ยนหัวหน่วยงานความมั่นคง
เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 17 เม.ย. ที่สโมสรทหารบก พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานในการประชุมหัวหน้าชุดวิทยากรโครงการสู้วิกฤติด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีพล.อ.ธีระวัฒน์ บุณญะประดับ พล.อ.วิโรจน์ บัวจรูญ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารบก พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 พร้อมด้วยคณะนายทหารระดับสูงเข้าร่วมประชุม ซึ่งบรรยากาศโดยรอบสโมสรทหารบกทั้งภายในและบริเวณทางเข้าเต็มไปด้วยกำลังทหารพร้อมอาวุธปืนจำนวน 1 กองร้อย เฝ้ารักษาความปลอดภัยอย่างเข้มข้น
จากนั้น เวลา 15.00 น. พล.อ.อนุพงษ์ ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การเมืองในกรุงเทพว่า ขณะนี้สถานการณ์มีความเรียบร้อยในระดับหนึ่ง แต่จะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนี้เราต้องติดตามดูต่อไป ซึ่งผลการปฏิบัติงานของทหารที่ผ่านมาจากการที่มีคนไปก่อความไม่สงบ เราไม่ได้ไปปราบ แต่เราเข้าไปดำเนินการให้บ้านเมืองมีกฎระเบียบ เพราะประชาชนที่มาชุมนุมเป็นคนไทย และเราไม่ได้ใช้มาตรการที่รุนแรง ส่วนการคงไว้หรือยกเลิกประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น เป็นหน้าที่ของนาย อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่จะตัดสินใจว่าจะยกเลิก หรือจะคงไว้นานเท่าไร แต่ถ้าดูในภาพรวมพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตปกติของใครทั้งสิ้น และการที่ยังมีกำลังทหารอยู่ในพื้นที่ เพราะเป็นไปตาม พรก. ฉุกเฉิน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย
“ที่ผ่านมาที่ไม่มีความเรียบร้อยเพราะมีกลุ่มคนไปทำให้เกิดความไม่สงบ ซึ่งเรานำทหารเข้าไปในพื้นที่ที่ และจัดเวรยามไปอยู่โดยเฉลี่ย 1 เขต มี 2 จุดเท่านั้น เพื่อดูแลความเรียบร้อย และสร้างความเข้าใจไม่ว่าจะเป็นเขตดุสิต พญาไท หรือบางซื่อ ซึ่งเราไม่ได้เอาไปจับผู้ร้ายว่า ใครจะยิงใคร แต่เพื่อเป็นจุดตรวจและเฝ้าระวังว่า หากมีการรวมกลุ่มในลักษณะที่ก่อให้เกิดความไม่สงบอีก เราจะนำกำลังที่เก็บไว้ออกมาแก้ไขปัญหาได้ ไม่ได้มุ่งหวังแก้ปัญหาอาชญากรรมในพื้นที่ เพราะ ไม่ใช่หน้าที่ของทหาร ผมได้เน้นว่า ในวันที่ 20 เม.ย.นี้ที่เป็นวันเปิดทำงาน ในช่วงกลางวันจะไม่เห็นกำลังในส่วนนี้ แต่ในยามค่ำคืนจะออกมารักษาความสงบเรียบร้อย ยกเว้นแต่จะเลิกปฏิบัติก่อนจึงจะลดกำลังออกไป ส่วนพื้นที่ที่น่าเป็นห่วง เป็นพื้นที่ที่มีสาธารณูปโภค หรือสถานที่ที่อาจเกิดการรวมตัวและเกิดปัญหาขึ้นได้ ” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่ามีการนำศพผู้เสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุมไปเผาที่วัดสาครสุ่นประชาสรรค์ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า “ อยากยืนยันว่า การปฏิบัติที่ผ่านมา ไม่มีการเสียชีวิตของประชาชนคนไทยแม้แต่คนเดียว ในส่วนการปฏิบัติของทหาร ขอยืนยันว่า ไม่มีการใช้ความรุนแรงกับประชาชน ผมกล้าที่จะยืนยัน และขอเรียนประชาชนว่า ขอให้มั่นใจ ผมเอาชีวิตของผมเป็นเดิมพัน ถ้ามีการที่ทหารไปทำใครตายอย่างที่เขาลือกัน ผมเอาชีวิตตนเป็นเดิมพันให้ได้ และไม่ต้องสงสัยอีก ”
เมื่อถามถึงการถอนกำลังทหารหากมีการยกเลิกประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า การประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินหากรัฐบาลคิดว่าไม่จำเป็นและตำรวจสามารถดูแลสถานการณ์ความเรียบร้อยได้ เราจะถอนกลับหมด แต่หากว่า มีการต้องการกำลังทหารต้องให้รัฐบาลสั่งการไปที่ตำรวจเพื่อมีการร้องขอกำลังทหารมาเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ซึ่งในระดับนี้เราไม่สามารถใช้อาวุธได้ ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ตนคงดูเองไม่ได้ แต่ตนประเมินจากสื่อต่างประเทศ และจากการยอมรับของคนภายในประเทศรวมถึงจากสภาพการณ์ความรู้สึกของประชาชน และจากการประเมินด้านการข่าว อยู่ในสภาพน่าจะเรียบร้อย ส่วนที่มีปัญหาคือ ยังคงประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินอยู่ หากรัฐบาลจะประกาศยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินและมั่นใจว่าเหตุการณ์ปกติ ก็สามารถทำได้เลย
เมื่อถามถึงการลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เรื่องการลอบยิงเป็นเรื่องอาชญากรรม ซึ่งจะมีพ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่มี ก็สามารถเป็นเช่นนั้นได้ ทั้งนี้ทหารที่มีมาอยู่ประจำ 150 เขต มีเพียง 102 จุด เฉลี่ยประมาณเขตละสองจุด หากใครจะไปทำอะไร คงยากที่จะไปควบคุมได้ หรือไปรักษาไม่ให้เกิดขึ้นคงทำไม่ได้ ทั้งนี้การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ทหารได้รับคำสั่งหลังจากคืนวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา เราได้สั่งการเด็ดขาดว่า แม้ว่าจะมีการมาป่วนเมือง เช่นโยนระเบิดปิงปอง หรือระเบิดเพลิงเล็กๆ ห้ามใช้อาวุธโดยเด็ดขาดไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น แม้ว่าจะเห็นตัวก็ไม่ใช้อาวุธ เพราะหากมีคนขี่มอเตอร์ไซต์มาแล้วโยนระเบิดปิงปองหรือปะทัดยักษ์ แล้วทหารยิงจนทำให้เกิดการเสียชีวิต ประชาชนคงรับไม่ได้ ดังนั้นการสั่งการแน่ชัดว่า ห้ามทำอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นการที่เรามีจุดตรวจเพียงเขตละสองจุด ในเรื่องที่จะไปเฝ้าไม่ให้เกิดเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นคนละเรื่องกัน และไม่ว่า จะมีการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่อย่างไรก็ต้องเกิด
“เหตุการณ์นี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสืบสวน จับกุมมาให้ได้ ไม่ว่าสีไหนก็แล้วแต่ จะต้องนำตัวมาลงโทษให้ได้ ในฐานะที่เป็นหน้าที่รักษากฎหมาย ทั้งนี้ผมยังไม่มีข้อมูลที่จะไปวิเคราะห์ว่า การลอบยิงนายสนธิ เป็นเพราะอะไร ส่วนที่มีการใช้อาวุธสงครามนั้น ต้องยอมรับว่า มีการใช้อยู่ในประเทศไทยหลายครั้ง หลายหน และหลายกรณีที่มีการยิง และเมื่อหลายวันก่อนก็มีการยิงเอ็ม 79 เข้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเราพยายามกำหนดมาตรการเพื่อควบคุม ซึ่งดีขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ยังไม่หมดไป จึงต้องหาทางขจัดปัญหานี้ไปให้ได้ “ ผบ.ทบ.กล่าว
เมื่อถามว่า อยากให้ประชาชนเข้าใจว่า การลอบยิงดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวกับกองทัพ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนไม่สามารถบอกได้ว่า เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอะไร ต้องให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบได้เร่งสอบสวนและหาผู้กระทำผิดจะดีกว่า ตนไม่อยากแสดงความคิดเห็น เมื่อถามว่า จากสถานการณ์ขณะนี้จะมีกลุ่มใต้ดินออกมาก่อกวนหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า หากมองตามยุทธศาสตร์ การป่วนเมืองไม่น่าจะใช่ยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง เช่นการล้มการประชุมระดับชาติที่รัฐบาลเป็นเจ้าภาพ การไปใช้กฎหมู่ที่กระทรวงมหาดไทยหรือการปิดถนนไม่น่าจะใช้ได้ ซึ่งขณะนี้เราต้องเฝ้าติดตาม หากเป็นมาตรการก่อกวนเมือง ตนประเมินว่า ไม่น่าจะเป็นมาตรการที่สังคมยอมรับ
ด้านพ.อ.จิตตสักก์ เจริญสมบัติ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณี การลอบยิง นายสนธิว่า เรื่องนี้ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นฝ่ายสอบสวนหาข้อเท็จจริง แต่โดยส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะเป็นการการสร้างสถานการณ์ เพราะว่าดูจากภาพที่ปรากฏเป็นข่าว สภาพรถที่โดนกระสุนกราดยิงนั้นมีโอกาสที่จะเสียชีวิต ถ้าเขาสร้างสถานการณ์คงจะไม่คุ้มกับการเอาชีวิตมาแลกแบบนี้ ถือว่า นาย สนธิ ยังโชคดีอยู่ เพราะโดนกราดยิงขนาดนั้น น่าจะเจ็บมากกว่านี้ ซึ่งอาจจะเป็นความต้องการของเขา เพื่อให้ผสมเรื่องราวต่างๆไว้ด้วยกัน แต่ยังไม่อยากให้โยงเข้ากับเรื่องการเมือง
ส่วนมาตรการการดูแลบุคคลสำคัญๆของประเทศนั้น มีเจ้าหน้าที่เขาดำเนินการอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์นี้เจ้าหน้าก็ทำงานเข้มงวดและรัดกุมอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามคงต้องให้ตำรวจตรวจสอบ เพราะจะไปชี้ชัดว่าเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งคงไม่ได้ อาจจะมีทั้งประเด็นการเมือง ธุรกิจ ความขัดแย้งส่วนตัว หรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ต้องรอการพิสูจน์
พันธมิตรฯจวกกลไกรัฐสิ้นสภาพปล่อยคนร้ายยิง “สนธิ”
เมื่อเวลาประมาณ 14.40 น. แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดแถลงข่าวที่บ้านพระอาทิตย์ กรณีคนร้ายลอบยิง นายสนธิ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 1 ใน 5 แกนนำ กล่าวว่า ประเทศไทยได้เข้าสู่ภาวะมิกสัญญีแล้ว สถานการณ์ขณะนี้ การจัดตั้งกองกำลังได้ลดรูปลงมาจากการชุมนุมใหญ่มาเป็นกองโจร อาศัยการรบแบบจรยุทธ์ กำหนดเป้าหมายแต่ละครั้งเป็นจุดๆ แล้วล่าถอยไป ซึ่งเป็นการลงทุนน้อย แต่ได้ผลตามเป้าหมาย ไม่ต้องทำโฆษณาการผ่านสื่อทีวี และสื่ออื่นๆ แต่มันสะท้อนว่าประเทศนี้ไม่มีความปลอดภัยอีกแล้ว รัฐบาลใช้กฎหมายที่ให้อำนาจสูงสุดในการรักษาความปลอดภัยก็ยังเกิดเหตุ แสดงว่า มีกลไกรัฐบางอย่างไม่ทำงาน
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นการประกาศภาวการณ์ใช้อำนาจรัฐเต็มที่ในการระงับเหตุร้ายในบ้านเมือง แสดงว่า ก็ยังใช้ไม่ได้ เพราะกลไกรัฐบางส่วนโดยเฉพาะทหารและตำรวจไม่ทำงาน เป็นไปได้อย่างไร การประกาศภาวะฉุกเฉิน มีทหาร-ตำรวจประจำอยู่ทุกสี่แยก แต่ให้อาวุธสงครามผ่านเข้ามาได้อย่างหน้าตาเฉย และเป็นไปได้อย่างไรที่ทีวีวงจรปิดเสียหาย ไม่มีภาพปรากฏ แสดงว่า กลไกของรัฐสิ้นสภาพแล้ว
"เราจึงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงภายในกลไกของรัฐ โดยสนับสนุนภาวะผู้นำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปลี่ยนแปลงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้อำนวยการศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) ผู้อำนวยการข่าวกรอง สรุปคือ เปลี่ยนผู้รับผิดชอบหน่วยงานด้านความมั่นคงทุกหน่วย ไม่เช่นนั้นนายกรัฐมนตรีเองก็อาจจะไม่รอด หลังจากนายกฯ ถูกคุกคาม 2 ครั้ง เลขาธิการนายกฯถูกกระชากลากถูลงมาจากรถ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง ก็โดน ขณะที่ผู้นำต่างประเทศที่มาร่วมประชุมต้องหนีกระเจิง" นายสมเกียรติ กล่าวและว่า
ศัตรูของชาติได้มุ่งทำลายนายอภิสิทธิ์ ด้วยการล้มประชุมสุดยอดอาเซียน จัดการเอาความรุนแรงไปสี่ตัวนายกฯ รองนายกฯ เลขาธิการนายกฯ เสร็จแล้วก็มาจัดการใส่ความรุนแรงกับแกนนำพันธมิตรฯ ต่อ มันทำให้เห็นว่าความเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ที่เป็นพลังทางศีลธรรมนั้นกำลังประสบชะตากรรมเดียวกันกับรัฐบาลคือถูกแนวรบของความชั่วร้ายเข้ามาประทุษกรรมมุ่งหวังต่อชีวิต ซึ่งรัฐบาลจะต้องจัดการ ไม่เช่นนั้นจะเกิดการเสียสมดุลในการใช้อำนาจบริหารบ้านเมือง
อย่างไรก็ตาม นายสมเกียรติ กล่าวว่า กำหนดการคอนเสิร์ตการเมือง ที่สวนสาธารณะสะพานหิน ภูเก็ต ในวันที่ 18 เม.ย.ยังกำหนดจัดเหมือนเดิม เพราะเราถอยไม่ได้ ส่วนที่ จ.ระยอง ในวันที่ 25 เม.ย.จะยังจัดเหมือนเดิม เพราะจิตใจเรายังเข้มแข็งเพียงพอ
ด้าน นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ แถลงถึงผลการประชุมแกนนำในวันนี้ว่า ความเห็นโดยรวมของที่ประชุมสรุปได้ดังนี้
1.เราประณามคนที่ลงมือและคนที่เกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลังว่าเป็นพฤติกรรมที่ป่าเถื่อนไร้มนุษยธรรม เราปักใจเชื่อว่าเหตุครั้งมาจากความเกี่ยวข้องทางการเมือง เพราะบทบาทนายสนธิ ได้มายืนแถวหน้าต่อต้านระบอบทักษิณและความไม่ชอบธรรมใดๆ ของการเมืองเก่า
2.พันธมิตรฯยังไม่ปักใจเชื่อว่าใครอยู่เบื้องหลังตัวจริง แต่อยากให้โอกาสรัฐบาลหาตัวผู้กระทำผิด แต่เบื้องต้นเชื่อว่าคนร้ายน่าจะเกี่ยวข้องกับคนในอำนาจรัฐ น่าจะเป็นการปฏิบัติการของคนในเครื่องแบบ เพราะคนทั่วไปไม่น่าจะกล้าลงมือในช่วงที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งการกระทำครั้งนี้เป็นการท้าทายภาวะฉุกเฉินอย่างรุนแรง ตำรวจทหารมีเป็น 100 จุด แต่ปล่อยให้เกิดเหตุ ขฯที่กล้องวงจรปิด เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าใช้ไม่ได้ ซึ่งมักจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งเมื่อพันธมิตรฯ ถูกทำร้าย
3.ขอให้นายกรัฐมนตรีอย่าชะล่าใจ จนทำให้เกิดภาพว่านายกฯ อ่อนแอ ไม่สามารถป้องกันคุ้มกันประชาชนผู้บริสุทธิ์ รัฐบาลต้องหาตัวคนที่เกี่ยวข้องอยู่เบื้องหกลัง และรายงานให้ประชาชนทราบเป็นระยะๆ รวมทั้งนายกฯ ต้องจัดระเบียบหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะตำรวจ ความล้มเหลวที่พัทยา การจลาจลในเมือง สะท้อนว่ากลไกรัฐล้มเหลวในการสนองตอบรัฐบาล
4.เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นภาพสะท้อนระบอบการเมืองเก่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราถูกกระทำ ตั้งแต่ช่วงการชุมนุม 193 วัน ที่ทำเนียบ ที่ดอนเมือง ที่เอเอสทีวี รวมทั้งพันธมิตรฯ ในต่างจังหวัดเราถูกกระทำ ทั้งทางตรง และทางอ้อม แต่คดีไม่คืบหน้า และหลายครั้งที่เราถูกข่มขู่คุกคาม เพียงแต่เราไม่ได้แจ้ง แต่ก็มีตลอดเวลา
5.ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้กำลังใจพวกเรา ขออย่าหวั่นไหว ไม่ว่าเราจะเผชิญหน้ากับอะไรอีก ขอให้อยู่ในที่ตั้ง เราจะรายงานให้พี่น้องทราบเป็นระยะๆ เป็นภาระของแกนนำที่เราจะติดตามรานงาน และนายกต้องรับประกันว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก นอกจากนี้ ถ้าใครมีภาพถ่าย หรือวีดีโอคลิปเหตุการณ์ให้ติดต่อมาที่เอเอสทีวี เพื่อดำเนินการกับคนที่เกี่ยวข้องต่อไป