แม้รัฐบาลภายใต้การนำของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี จะก้าวพ้นช่วง "6 วันอันตราย" (ระหว่างวันที่ 8-14 เมษายน) ด้วยอาการครบ 32 ประการ หลังกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประกาศ "เผด็จศึก" รัฐบาล
โดยนำ "มวลชนเสื้อแดง" เรือนแสนเข้าปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ตามด้วยการล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนและคู่เจรจาที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี และก่อจลาจลกลางเมืองหลวง
จนนำมาสู่เสียงเซ็งแซ่ว่า "อภิสิทธิ์"กำชัยชนะเหนือบุรุษที่ถูกมองเป็น "นายใหญ่คนเสื้อแดง" นาม "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งในแง่การทำสงครามสื่อ และการแย่งชิงมวลชน
ทว่าทางเดินของ "รัฐบาลเทพประทาน" หลังจากนี้ กลับมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ตรงกันข้ามมี "ระเบิดเวลา" ดักหน้าดักหลัง รอให้ "อภิสิทธิ์กับพวก" ไล่ถอดสลักอีกหลายลูก
ระเบิดลูกแรก หนีไม่พ้น "วิกฤตเศรษฐกิจ" ที่ทุกประเทศต่างได้รับผลกระทบ แต่สำหรับประเทศไทย "เคราะห์ร้าย" ที่เกิด "วิกฤตการเมือง" ขึ้นในเวลาเดียวกัน
ทำเอาจีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติไทยในประเทศ) หด นักท่องเที่ยวหาย นักลงทุนผวา รากหญ้าเจ๊ง ฯลฯ
ล่าสุดสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยจากเหตุผลความวุ่นวายทางการเมือง
กลายเป็น ?วิกฤตซ้อนวิกฤต?
อย่างไรก็ตามรัฐบาล "อภิสิทธิ์" ยังพอมี "เคราะห์ดี" บ้าง เมื่อสามารถช่วงชิง "มวลชนไร้สี-มวลชนผู้รักสงบ" ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศมาเป็นแรงสนับสนุนให้รัฐบาลทำงานต่อได้
แต่นั่นหมายถึงความคาดหวังที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย
จึงทำนายได้ว่าหากรัฐบาลไม่เร่งแสดงศักยภาพในทางบริหาร โดยเฉพาะแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน อาจเกิดปรากฏการณ์ "ม็อบไส้แห้ง" ออกมาตะเพิดฝ่ายบริหารเสียเอง
ระเบิดลูกต่อมาคือ ?วิกฤตกระบวนการยุติธรรม? ที่ถูกบางส่วนของสังคมตั้งคำถามว่าถูก ?มือที่มองไม่เห็น? ล้วงลูก จนนำมาสู่การ "เลือกปฏิบัติ" ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา?
แต่เพิ่งมีการแฉ "ข้อมูลใหม่" บนเวทีคนเสื้อแดงเพื่อชวนเชื่อให้คนไทยคล้อยตาม
โดย "พ.ต.ท.ทักษิณ" ออกมาปูดว่า "บุคคลสำคัญ" ในกระบวนการยุติธรรมทั้ง "อักขราทร จุฬารัตน" ประธานศาลปกครองสูงสุด "ชาญชัย ลิขิตจิตถะ" องคมนตรี ในฐานะอดีตประธานศาลฎีกา "พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ" อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เคยร่วมปรับทุกข์-ผูกมิตรกับ "อำมาตย์ตัวพ่อ" อย่าง "พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์" องคมนตรี และ "ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา" ที่บ้านพักย่านสุขุมวิทของ "ปีย์" ในช่วงที่การเมืองถึงทางตัน
จนนำมาสู่ปรากฏการณ์ "ตุลาการภิวัตน์" ไล่ประหัตถ์ประหาร "ทักษิณกับพวก" แบบไม่จบสิ้น
ยังไม่รวมการดำเนินการแบบ 2 มาตรฐานของคนใน "วงการตาชั่ง" โดยนำคดี "หัวแตงโมและคณะ" มาเปรียบเทียบกับคดี "หัวเกรียนและผองเพื่อน"
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่า "ผู้มีอำนาจ" ไม่กล้าดำเนินการใดๆ เพราะเกรงใจ "คุณพ่อพันธมิตร"
และระเบิดลูกสุดท้ายคือ "วิกฤตการเมือง" ที่แม้รัฐบาล "อภิสิทธิ์" จะประกาศเดินหน้าปฏิรูปการเมืองตั้งแต่เดือนก่อน โดยมอบหมายให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการ มี "สุจิต บุญบงการ" ประธานสภาพัฒนาการเมือง เป็นหัวหอกใหญ่
แต่จนขณะนี้กลับหารูปธรรมใดๆ ไม่ได้ ด้วยเพราะ "ตัวบุคคล" ไม่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
กอปรกับไม่กล้าประกาศ "ธง" ในการดำเนินการที่ชัดเจน เพราะเกรงเกิดแรงกระเพื่อมทางการเมือง ทั้งที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าบรรทัดสุดท้ายที่ควรดำเนินการตั้งแต่บรรทัดแรกคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ต้องยอมรับว่าภารกิจไล่ถอดสลักระเบิดทั้ง 3 ลูกของรัฐบาล "อภิสิทธิ์" ไม่ใช่เรื่องง่ายในทางปฏิบัติ เพราะนอกจากการเนื้อแท้ของปัญหาแล้ว
ยังมี "ชนวนอื่น" ที่คอยเติมเชื้อให้ประทุ พร้อมทำให้ระเบิดบึ้มคามือ "ลิงแก้แห" ได้ทุกเมื่อ
อย่างการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจของ "เด็ก 2 คน" ได้ถูกบังคับให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขไม่ทำให้ "พรรคร่วมรัฐบาล" อดอยาก เหมือนครั้งการจัดสรรงบกลางปี 2552 วงเงิน 1.15 แสนล้านบาท ที่ถูกวิจารณ์ว่ากระจุกอยู่เฉพาะ "กระทรวงสะตอ"
เช่นเดียวกับการแก้วิกฤตกระบวนการยุติธรรม ที่ต้องไม่ทำให้ "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" และ "ผู้สนับสนุนหลัก (อย่างไม่เป็นทางการ)" ของพรรคประชาธิปัตย์ต้องเดือดร้อน
และการแก้รัฐธรรมนูญที่ต้องอยู่บนพื้นฐานการประสานผลประโยชน์-ความพึงพอใจของ "กลุ่มอำนาจต่างๆ" อย่างลงตัวและแนบเนียน
ท้ายที่สุดภารกิจสำคัญที่รัฐบาล "อภิสิทธิ์" ต้องทำเพื่อ "ฝ่าวิกฤตบ้านเมือง" และ "สลายวิกฤตตัวเอง" ท่ามกลาง "แรงกดดัน" และ "ลูกระเบิด"
จึงเป็นภารกิจหนีตายขนานแท้!!!