รถถัง-หุ้มเกราะพล่านทั่วกรุง ใช้แผนอาร์มทองเป็นกองหนุนตร. โฆษก กห.ชี้จะต้องมีคนเสียสละเก้าอี้


รถถัง-หุ้มเกราะ-ฮัมวี่ พร้อมทหารอาวุธครบมือวางกำลังทั่วกรุง โฆษก กห.ชี้ "พ.ร.ก." ไม่สามารถทำอะไรได้ เผย"บิ๊กทหาร" อึดอัดแต่ไม่อยากพูด ระบุสุดท้ายต้องมีคนเสียสละเก้าอี้ กองทัพส่ง56กองร้อยช่วยตร.ใช้แผนอาร์มทอง "สุเทพ"เชื่อไม่มีปฏิวัติ

 
ทหารค่ายสุรสีห์เคลื่อนเสริมกำลัง
 
หลังจากนายกรัฐมนตรีพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 12 เมษายน ปรากฏว่าก็มีความเคลื่อนไหวของฝ่ายทหารออกมาช่วยดูแลความสงบ ตามพื้นที่ที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน โดยเริ่มมีการปล่อยรถหุ้มเกราะ และรถถังวิ่งออกวิ่งควบคุมพื้นที่ตามจัดสำคัญต่างๆ โดยเมื่อเวลา 16.15 น. กำลังทหารหน่วยเคลื่อนที่เร็วของกองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ จังหวัดกาญจนบุรี ได้เคลื่อนกำลังพลจากค่ายสุรสีห์ โดยใช้รถจีเอ็มซี จำนวน 6 คัน ฮัมวี่ จำนวน 3 คัน รถบัส จำนวน 2 คัน รถกระบะ จำนวน 1 คัน จิ๊บเชโรกี จำนวน 1 คัน และรถตู้อีก 1 คัน บรรทุกกำลังพลและนายทหาร รวมประมาณ 500 นาย พร้อมอาวุธครบมือ และปืนกล เดินทางเข้าสู่กรุงเทพ ภายหลังจากรัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เวลาประมาณ 17.00 น. รถจีเอ็มซีขนกำลังทหารประมาณ 20 นาย เข้ารักษาการณ์บริเวณแยกวิศสุกรรมนฤมาล และแยกประชาเกษม ข้างคุรุสภา ขณะเดียวกันบริเวณแยกจปร.กลุ่มผู้ชุมนุมยึดรถเมล์กว่า 10 คันปิดถนน รวมถึงปิดแยกผ่านฟ้าด้วย

บริเวณเชิงสะพานพระปิ่นเกล้าฯ  มีกำลังทหารเรือประมาณ 30 นาย อาวุธครบมือ ตั้งด่านเตรียมพร้อม ส่วนบริเวณทางลงสะพานพระราม 7 ขาเข้าประชานุกูล มีกำลังทหารประมาณ 30 นาย กระจายกันอยู่ตามริมถนนทั้งด้านขาเข้าและออก โดยมีอาวุธครบมือ พร้อมรถจี๊ปสิงห์ทะเลทรายติดปืนกลอีก 1 คัน
 
"สุเทพ"เชื่อมั่นไม่มีการปฎิวัติ
 
ขณะที่ เมื่อเวลา 19.20 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงการควบคุมสถานการณ์ว่า ขณะนี้ควบคุมสถานการณ์ได้มากขึ้น โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้วางแผนล่วงหน้าในการก่อเหตุแต่รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้ทันเวลา แต่กว่าจะรวบรวมเจ้าหน้าที่ได้นั้น ต้องใช้เวลาบ้าง ซึ่งขณะนี้กำลังเข้ารูปเข้ารอย หมายถึงรัฐบาลจะทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย และขอให้ประชาชนกลับบ้าน โดยได้รายงานสถานการณ์ความคืบหน้าให้นายกรัฐมนตรีรับทราบเป็นระยะ และนายกรัฐมนตรีจะชี้แจงกับประชาชนทางทีวีเอง
 
เมื่อถามว่ากลุ่มผู้ชุมนุมได้ยึดรถเมล์แล้ว นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นความตั้งใจก่อความวุ่นวาย  จะจับกุมทุกคนที่ทำผิดกฎหมาย ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ามีการขีดเว้นตายไว้หรือไม่ว่าเหตุการณ์จะสงบเมื่อใด รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะทำจนเรียบร้อย เมื่อถามว่าจะมีการปฏิวัติหรือไม่นายสุเทพ กล่าวยืนยันว่า "ไม่มีการปฏิวัติ ซึ่งการที่มีการออกหมายจับกลุ่มเสื้อแดงที่ทุบรถนายกรัฐมนตรี 12 คนนั้น ก็เป็นการจับทุกคนที่ทำความผิด"

โฆษกกลาโหมชี้บิ๊กทหารอึดอัด
 
พ.อ.จิตตสักก์ เจริญสมบัติ โฆษกกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการประกาศพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินว่า  การประกาศครั้งนี้ คล้ายกับการประกาศในพื้นที่ จ.ชลบุรีเมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา เพียงแต่เปลี่ยนแปลงพื้นที่เท่านั้น  ส่วนแนวทางของกองทัพ จะรองรับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และจะสามารถยุติสถานการณ์ได้หรือไม่นั้น พ.อ.จิตตสักก์ กล่าวว่า ในความคิดเห็นส่วนตัว เห็นว่า ไม่น่าจะยุติใดๆ ได้ เพราะเท่าที่ดูในระดับการปฏิบัติงาน ของเจ้าหน้าที่อาจค่อนข้างสับสน เนื่องจากไม่แน่ใจในการบังคับใช้ พ.ร.ก. ตั้งแต่ประกาศที่ จ.ชลบุรีแล้ว โดยเจ้าหน้าที่สับสน ไม่มีความมั่นใจว่า อำนาจหน้าที่มีมากน้อยเพียงใด และอย่างไรบ้าง
 
ส่วนจะเกี่ยวกับกฎหมาย ที่รองรับการปฏิบัติด้วยหรือไม่ เพราะตำรวจเคยมีบทเรียนจากการสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมมาแล้วหรือไม่นั้น  พ.อ.จิตตสักก์ กล่าวว่า "ทำนองนั้น ถ้าบอกว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินต้องพิจารณาระดับในการปฏิบัติ เพราะเมื่อรัฐบาลบอกว่า จะปฏิบัติอย่างนุ่มนวล ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และยุทธวิธีการในการผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมนั้นเหมือนเดิม ไม่สามารถทำอะไรได้ รัฐบาลต้องมีมาตรการเป็นขั้นเป็นตอนว่า จากเบาไปหาหนักในระดับของความรุนแรงเท่าที่ทำได้ขณะนี้ก็แค่นี้ มันไม่สอดคล้องกับแผนการปฏิบัติ ซึ่งผมมองว่าการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นเพียงภาพกว้างๆไม่มีรายละเอียดในการปฏิบัติ ซึ่งจำเป็นต้องกำหนดมาตรการออกมา ทั้งนี้ สังเกตได้จากนายทหารระดับผู้ใหญ่เกิดความอึดอัดเพียงแต่ไม่พูดเท่านั้นเอง" พ.อ.จิตตสักก์ กล่าว

เชื่อที่สุดต้องมีคนเสียสละเก้าอี้
 
พ.อ.จิตตสักก์ กล่าวว่า ดูจากการที่มีการนำรถสายพานลำเลียงพล ออกมาจากหน่วยของกองพันทหารม้าที่ 1 กรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ วิ่งไปที่ย่านศูนย์การค้าพารากอน แสดงถึงความสับสน ในคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องนำรถเกราะ ออกมาในลักษณะนี้ เพราะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ถ้าไม่มีทหารคุ้มกัน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ท้ายที่สุดแล้ว ต้องมีคนที่เสียสละตำแหน่ง เพื่อเห็นแก่ชาติบ้านเมือง เพราะการปฏิบัติอื่นๆ ดูแล้วไม่มีผลอะไร
 
นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน และ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ได้ทำลายประเทศชาติทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และเป็นการทำลายประเพณีวัฒนธรรมของชาติ  หากรัฐบาลทำแบบนี้เหตุการณ์จะรุนแรงกว่านี้ เศรษฐกิจจะแย่ไปกว่านี้ 

ทบ.ยืนหลีกเลี่ยงใช้ความรุนแรง
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินรายแรงในกทม.และปริมณฑลของนายกรัฐมนตรี  เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มีผู้บัญชาการเหล่าทัพเข้าร่วมแถลงแต่อย่างใด โดยเฉพาะพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ที่จะต้องมาร่วมแถลงข่าวด้วย อีกทั้งเป็นที่น่าสังเกตว่าการเลือกสถานที่แถลงข่าวเหตุใดจึงเลือกกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากเป็นพื้นที่ล่อแหล่ม เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ชุมนุมอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล สามารถเดินทางมาถึงได้อย่างรวดเร็วภายในเวลา ไม่ถึง 20 นาที

นอกจากนี้ในระหว่างที่ นายกฯกำลังแถลงข่าวอยู่นั้น พล.อ.ประวิตร  ได้โทรศัพท์สั่งการไปยังกระทรวงกลาโหม เพื่อให้ส่งกำลังทหารมาประจำการพื้นที่โดยรอบกระทรวงมหาดไทย แต่ปรากฏว่าไม่มีกำลังมาเพิ่มแต่อย่างใด มีเพียงกำลังทหารที่รักษาการอยู่ในรั้วกระทรวงมหาดไทย 1 กองร้อย ที่เพิ่มมาก่อนที่นายกฯจะเดินทางมาถึงเท่านั้น
  
พ.อ.สรรเสริญ  แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์สั้นๆ ว่า ขณะนี้กำลังทหารและรถหุ้มเกราะได้ออกปฏิบัติการเฝ้าระวังสถานการณ์ในหลายจุดในกทม. ซึ่งเป็นการดำเนินการตามที่มีการการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินเท่านั้น ขอให้ประชาชนอย่าได้วิตกกังวล และยืนยันว่าทหารจะดำเนินการโดยการหลีกเลี่ยงความรุนแรง อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งให้มีการปฏิบัติการใดนอกเหนือจากนี้
 
รายงานข่าวจากกองทัพบกแจ้งว่า ขณะนี้กองทักบกได้จักกำลังพลรวมทั้งรถถัง รถหุ้มเกราะ เพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ตามจุดต่างๆประมาณ 50 จุดทั่วกทม. เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์

กองทัพส่ง56กองร้อยช่วยตร.

พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ประชุมสถานการณ์ภายในที่ 1 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 พัน 1 รอ.) ถนนวิภาวดีฯ เพื่อประเมินสถานการณ์สนับสนุนกำลังตำรวจตามการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นอกจากนี้ในส่วนของ ผบ.เหล่าทัพ ทั้ง พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ และ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ติดตามสถานการณ์ภายในของแต่ละเหล่าทัพ

รายงานข่าวแจ้งว่า เบื้องต้นกองทัพจะจัดส่งกำลังสนับสนุนตำรวจประมาณ 56 กองร้อย ตามแผน "อาร์มทอง" เพื่อดูแลสถานที่ราชการสำคัญ โดยแบ่งพื้นที่โซนในพื้นที่กรุงเทพมหานครจะใช้กำลังจากกองทัพภาคที่ 1 ให้ พล.ท.คณิตเป็นผู้บัญชาการควบคุมกำลังพล ส่วนโซนในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ จะให้ทางกองทัพเรือ เป็นผู้รับผิดชอบ ขณะที่โซนในพื้นที่ จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี จ.พระนครศรีอยุธยา จ.นครปฐม จะให้ทางหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.) กองทัพอากาศ และเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแล

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์