จากคมชัดลึก :"อภิสิทธิ์" ยันม็อบเสื้อแดงเหลืออยู่เพียงร้อยละ 30 พยายามยัวะยุให้เกิดความรุนแรงและก่อการจลาจล ยันรัฐบาลจะดำเนินตามกฎหมายกับผู้กระทำความผิด พร้อมประกาศให้วันที่ 10 เม.ย.เป็นวันหยุด ยันไม่ยุบสภา-ไม่ลาออก ราชการ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงผ่านสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที (ช่อง 11) ว่า ข้อเรียกร้องเดิมทั้ง 3 ข้อของกลุ่มผู้ชุมนุมนั้น สับสนและไม่นำไปสู่การได้ประชาธิปไตยอย่างที่ควรจะเป็น
เช่น การตั้งข้อเรียกร้องให้องคมนตรีลาออกนั้น เป็นข้อเรียกร้องที่ไม่เหมาะสม พยายามขยายวงไปสู่สถาบันและผู้หลักผู้ใหญ่ที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง
ส่วนข้อเรียกร้องที่ 2 ให้ยุบสภาและลาออกนั้น ขอยืนยันว่าการตัดสินใจของตนจะอยู่บนพื้นฐานประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การยุบสภาในช่วงนี้คงไม่นำไปสู่การเลือกตั้งที่ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย ถ้าเรายุบสภาภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ สิ่งที่ปรากฏต่อชาวโลกคือภาพลักษณ์ความวุ่นวาย เพราะมีการข่มขู่คุกคามของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับตัวเอง ยิ่งหากเกิดความรุนแรงช่วงเลือกตั้ง จะยิ่งซ้ำเติมภาพลักษณ์ของประเทศอย่างรุนแรง การยุบสภาคงไม่เหมาะสมช่วงนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขณะนี้งานแก้ไขเศรษฐกิจกำลังเดินหน้าชัดแจ้ง การจัดประชุมอาเซียนบวกประเทศคู่เจรจา ล้วนแต่เสริมความเชื่อมั่นให้ประเทศเดินต่อไปได้ หากยุบสภา สิ่งเหล่านี้ต้องหยุดชะงัก ในส่วนข้อเสนอให้ลาออก ข้อเรียกร้องนี้สับสน หากลาออก สภาต้องประชุมเลือกนายกฯ ใหม่ วันนี้พรรคร่วมรัฐบาลยังยืนยันทำงานร่วมกันเหมือนเดิม ถ้าพรรคร่วมเลือกตนกลับมาเป็นนายกฯ ก็จะกลับสู่สถานการณ์เหมือนเดิม
ส่วนข้อเรียกร้องที่ 3 ที่ผู้ชุมนุมระบุว่าปรารถนาเห็นระบอบประชาธิปไตยดำเนินต่อไปนั้น ไม่มีอะไรดีกว่าการให้รัฐสภาเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม ปรับปรุงกติกากฎหมายรัฐธรรมนูญให้มีความเหมาะสม เชื่อว่าประชาชนเริ่มเข้าใจว่าการผสมผสานข้อเรียกร้องที่ 3 เป็นความพยายามที่จะสร้างความสับสนทางการเมือง
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การชุมนุมวันนี้ ผู้ชุมนุมร้อยละ 70 ตัดสินใจเดินทางกลับไปแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ ผู้ชุมนุมเหลือร้อยละ 30 ได้เปลี่ยนแนวทางการชุมนุม สิ่งที่ประกาศบนเวทีเป็นเรื่องผิดกฎหมาย การชักชวนประชาชนให้มาละเมิดกฎหมายโดยอ้างว่าไม่จำเป็นต้องเคารพกฎหมาย โดยอ้างว่าไม่มีรัฐบาล แนวทางข้อเรียกร้องนี้ มีประชาชนจำนวนมากไม่เห็นด้วย เพราะทำให้เห็นว่าบ้านเมืองของเราเห็นว่าไม่ต้องมีกฎหมายก็ได้ การกระทำของผู้ชุมนุมช่วงบ่ายที่มีการปิดถนน ปิดการจราจร เป็นการทำผิดกฎหมาย สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน ตรงนี้ไม่มีนักประชาธิปไตยคนใดสนับสนุนได้ พฤติกรรมเช่นนี้เป็นการกระทำของคนที่ไม่เชื่อในระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลทราบว่าจุดมุ่งหมายของผู้ชุมนุมที่เหลืออยู่คือ ต้องการยั่วยุให้เกิดสถานการณ์เผชิญหน้า รุนแรง หวังผลให้เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ เชิญชวนประชาชนมาร่วมกันก่อจลาจล หยุดยั้งบ้านเมืองไม่ให้เดินต่อในการประชุมอาเซียน แต่ผู้นำประเทศเพื่อนบ้านของเราและประเทศคู่เจรจา ยังยืนยันจะมาร่วมการประชุม เพราะเขาเข้าใจดีถึงสถานะของรัฐบาลไทยในปัจจุบัน ฉะนั้นที่บอกจะไม่ใช้ความรุนแรงและบังคับใช้กฎหมาย ยังเป็นแนวทางที่เรายึดถืออยู่ และเราจะไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้ที่ต้องการให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย
"การบังคับใช้กฎหมายจะเกิดแน่นอน ขณะนี้รัฐบาลจะเริ่มบังคับใช้กฎหมาย คนที่ถูกชักจูงขอให้ท่านได้ไตร่ตรองและตัดสินใจยืนอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศ ยืนอยู่บนความถูกต้องของบ้านเมืองของสังคม ละเว้นการกระทำเหล่านี้เสีย รัฐบาลจะแยกคนเหล่านี้ออกมา จะเหลือเพียงผู้ดำเนินการที่จงใจกระทำผิดกฎหมาย กระทบกับความมั่นคง ซึ่งรัฐจะดำเนินการ เพราะภาพเสียงต่างๆ บันทึกไว้หมดแล้ว รวมถึงทะเบียนรถและตัวบุคคล ซึ่งจะพิจารณาลงโทษต่อไป" นายกรัฐมนตรีกล่าว
ประกาศ 10 เม.ย.เป็นวันหยุดราชการ
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ได้ปรึกษา ครม.และเห็นพ้องให้ 1.ประกาศให้วันที่ 10 เมษายน เป็นวันหยุดราชการ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและง่ายต่อการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ในการแยกแยะกลุ่มคนที่ทำผิดกฎหมาย 2.ขอให้ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที รายงานสถานการณ์ข่าวสารเพื่อประชาชนตลอดเวลา ให้เห็นว่ากลุ่มบุคคลดำเนินการอย่าไร เป็นไปตามที่กล่าวอ้างว่ายึดถือประชาธิปไตยหรือไม่ และให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายเด็ดขาดอย่างไร
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าการใช้ความรุนแรง แต่ผู้ชุมนุมบางส่วนต้องการเพิ่ม ยกระดับความรุนแรง ซึ่งตนได้ประชุมหน่วยมั่นคงจะอาศัยกำลังพล ตำรวจทหาร เจ้าหน้าที่เทศกิจในการดูแลพื้นที่สาธารณะ ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายอย่างดีที่สุด ส่วนภาคเอกชนก็ต้องช่วยรัฐบาลสอดส่องดูแล มีมาตรการเข้มงวดกวดขันมากขึ้น ทั้งนี้อยากขอความร่วมมือประชาชนเป็นหูเป็นตาสอดส่องดูแล แจ้งข้อมูลเบาะแสต่างๆ เพื่อป้องกันเหตุร้าย ทั้งนี้เมื่อมีการแยกแยะผู้ชุมนุมแล้ว เรามั่นใจว่ารัฐจะสามารถบังคับใช้กฎหมาย และนำเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติได้