เบื่อหน่ายและเครียด ผลสำรวจความในใจคนไทย 70%อยากให้หยุดความวุ่นวาย หยุดหนุนม็อบทุกกลุ่ม


ความในใจของสาธารณชนที่อยากบอกกับกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง: กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนใน 18 จังหวัดของประเทศ หลักแนวคิด 3 หยุด 3 สร้าง และ 5 เร่ง แนวคิด 3 หยุด ได้แก่ หยุดก่อความวุ่นวาย หยุดทำเพื่อคนใดคนหนึ่งหรือพวกพ้อง และหยุดใช้คนเป็นเครื่องมือ

นายนพดล  กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยเมื่อวันที่ 5 เมษายน ถึงผลสำรวจ “เอแบคเรียลไทม์โพล” (Real-Time Survey) หลังจากมีสิ่งที่น่าสนใจติดตามในหมู่ประชาชนครั้งนี้ เรื่อง ความในใจของสาธารณชนที่อยากบอกกับกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนใน 18 จังหวัดของประเทศ  ปรากฎว่า เกินกว่าครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 54.8 รู้สึกเครียดต่อเรื่องการเมือง และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.0 เบื่อหน่ายต่อเรื่องการเมือง และร้อยละ 17.4 ขัดแย้งกับคนรอบข้างเรื่องการเมือง

ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงสิ่งที่ต้องการให้กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง “หยุด” อะไร เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาของประเทศชาติในขณะนี้ ผลสำรวจพบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 70.8 อยากให้หยุดก่อความวุ่นวาย รองลงมาอันดับที่สองคือ ร้อยละ 68.7 อยากให้หยุดทำเพื่อคนใดคนหนึ่งหรือพวกพ้องของตนเอง อันดับที่สาม ร้อยละ 66.3 อยากให้หยุดใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ และรองๆ ลงไปคือ ร้อยละ 63.9 อยากให้หยุดแบ่งพรรคแบ่งพวก ร้อยละ 61.8 อยากให้หยุดสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุมทุกกลุ่ม ร้อยละ 61.2 อยากให้หยุดแทรกแซงสื่อมวลชน เป็นต้น


ดร.นพดล กล่าวต่อว่า เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากให้กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง “สร้าง” อะไรเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศชาติในขณะนี้ ผลสำรวจพบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 74.6 อยากให้สร้างความรักความสามัคคีของคนในชาติ รองลงมาอันดับที่สอง คือ ร้อยละ 73.7 อยากให้สร้างความดีเพื่อถวายแด่ในหลวงของเรา อันดับที่สามคือร้อยละ 72.9 อยากให้สร้างคนให้มีคุณธรรม และรองๆ ลงไปคือร้อยละ 70.6 อยากให้สร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ร้อยละ 61.4 อยากให้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน ร้อยละ 60.5 อยากให้สร้างความสงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ร้อยละ 60.0 อยากให้สร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศ และร้อยละ 35.4 อยากให้สร้างรัฐบาลใหม่ ตามลำดับ

 
นอกจากนี้ เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากให้กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง “เร่ง” อะไร เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศชาติขณะนี้ ผลสำรวจพบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 72.4 อยากให้เร่งแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน รองลงมาอันดับที่สอง คือ ร้อยละ 71.7 อยากให้เร่งแก้ปัญหายาเสพติด อันดับที่สาม คือร้อยละ 71.0 อยากให้เร่งแก้ปัญหาว่างงาน อันดับที่สี่ คือ ร้อยละ 70.7 อยากให้เร่งสร้างความรักชาติในหมู่ประชาชน อันดับที่ห้า คือ ร้อยละ 69.6 อยากให้เร่งสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รองๆ ลงไปคือ ร้อยละ 68.8 อยากให้เร่งปราบปรามทุจริต คอรัปชั่น และร้อยละ 44.7 อยากให้เร่งคืนอำนาจให้กับประชาชน เลือกตั้งใหม่ ตามลำดับ

ผู้อำนวยการเอแบคโพล  กล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า อารมณ์ความรู้สึกของประชาชนที่เคยสำรวจพบตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมาต่อบรรยากาศทางการเมืองยังคงเหมือนเดิมทั้ง ความรู้สึกเบื่อ เครียดและความขัดแย้งกับคนรอบข้างในเรื่องการเมือง  ยิ่งไปกว่านั้นคือ เริ่มมีเชื้อไฟในอารมณ์ของประชาชนจำนวนมากที่บอกว่าให้รัฐบาลเร่งคืนอำนาจแก่ประชาชนเลือกตั้งใหม่
 
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ประชาชนสะท้อนเสียงมายังกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองกลุ่มต่างๆ ผ่านการสำรวจครั้งนี้ คือ สิ่งที่ประชาชนอยากบอกให้กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง “หยุดอะไร” “สร้างอะไร” และ “เร่งอะไร” เพื่อแก้ปัญหาของประเทศชาติขณะนี้ ผลการศึกษาจัดอันดับออกมาเป็นข้อเสนอแนะทางออกฝ่าวิกฤตชาติภายใต้ “หลักแนวคิด 3 หยุด 3 สร้าง และ 5 เร่ง” ประกอบด้วย

หลักแนวคิด 3 หยุด ได้แก่ หยุดก่อความวุ่นวาย หยุดทำเพื่อคนใดคนหนึ่งหรือพวกพ้อง และหยุดใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ 

หลักแนวคิด 3 สร้าง ได้แก่ สร้างความรักความสามัคคีของคนในชาติ สร้างความดีเพื่อถวายแด่ในหลวง และสร้างคนให้มีคุณธรรม
 
และหลักแนวคิด 5 เร่ง ได้แก่ เร่งแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน เร่งแก้ปัญหายาเสพติด เร่งแก้ปัญหาการว่างงาน เร่งสร้างความรักชาติในหมู่ประชาชน และเร่งสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

หลักแนวคิดเหล่านี้หลายประการที่เกินขอบเขตความสามารถของประชาชนทั่วไปจะทำให้เป็นจริงได้เพียงลำพัง ดังนั้น ฝ่ายการเมืองและกลุ่มชนชั้นนำของสังคม เช่น สื่อมวลชน นักธุรกิจ นักวิชาการ กลุ่มข้าราชการ และแกนนำชุมชน น่าจะพิจารณารณรงค์ขับเคลื่อนให้ข้อมูลความต้องการของสาธารณชนครั้งนี้เป็นประโยชน์แก้ปัญหาของประเทศชาติโดยส่วนรวมอย่างแท้จริงและยั่งยืนตลอดไป
 
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่าตัวอย่างร้อยละ 55.9  เป็นหญิง ร้อยละ 44.1  เป็นชาย  ตัวอย่างร้อยละ 5.5  อายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ  14.0  อายุระหว่าง 20 – 29 ปี ร้อยละ 17.6  อายุระหว่าง 30 – 39 ปี ร้อยละ 21.0  อายุระหว่าง 40 – 49 ปี และ ร้อยละ  41.9  อายุ 50 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 69.3  สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี รองลงมาคือร้อยละ 25.1  สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และร้อยละ 5.6   สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี  ร้อยละ 30.8 ระบุอาชีพเกษตรกร/รับจ้างทั่วไป   ตัวอย่างร้อยละ 26.8  ระบุอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว   ร้อยละ 14.4  ระบุอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ  10.2 ระบุข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 8.7  เป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ  ร้อยละ  8.8  เป็นนักเรียน/นักศึกษา ในขณะที่ร้อยละ 4.3 ระบุว่างงาน/ไม่ประกอบอาชีพ 
 
สำหรับ 18 จังหวัดที่สำรวจ ได้แก่  กรุงเทพมหานคร ตาก ลำปาง เชียงราย ประจวบคีรีขันธ์ ฉะเชิงเทรา ราชบุรี นนทบุรี ชลบุรี อำนาจเจริญ มหาสารคาม สกลนคร ศรีสะเกษ อุดรธานี ขอนแก่น พัทลุง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช  จำนวนทั้งสิ้น 2,192  ตัวอย่าง ในวันเสาร์ที่ 4  เมษายน 2552 ผลสำรวจพบว่า ประชาชนที่ถูกศึกษาส่วนใหญ่หรือประมาณร้อยละ 80 ติดตามข่าวสารการเมืองผ่านสื่อมวลชนเป็นประจำทุกสัปดาห์


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์