ปชป.ประชุมใหญ่ วาง15ยุทธศาสตร์ ตั้งกก.คุมศึกเลือกตั้ง เพื่อไทยยื่นถอดสุเทพนั่งประชุมก.ตร.ขัดรธน.


ประชุมใหญ่ประชาธิปัตย์คึก "สุเทพ" ลั่น กวาด ส.ส. 280 ที่นั่ง วาง 15 ยุทธศาสตร์-ทุ่มเงิน 117 ล.รองรับ ผุดสมัชชาทุกจังหวัด ตั้ง กก.คุมศึกเลือกตั้งแล้ว เพื่อไทยได้ชื่อ 116 ส.ส.ยื่น ป.ป.ช.ถอด"เทพเทือก" นั่งประชุม ก.ตร.ขัดกฎหมาย


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2552 ของพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้ชื่อ "เชื่อมั่นประเทศไทย มั่นใจประชาธิปัตย์" เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 29 มีนาคม ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ โดยมี ส.ส. สมาชิกพรรค และตัวแทนสาขาพรรคมาร่วมการประชุมกว่า 1,000 คน ทุกคนแต่งกายด้วยชุดผ้าไทยสีฟ้า สีประจำพรรค บริเวณรอบๆ งาน มีการดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบประมาณ 2 กองร้อย จาก บก.น.2 เนื่องจากเกรงว่าอาจจะมีผู้ไม่หวังดีมาปั่นป่วน พร้อมนำเครื่องสแกนอาวุธและวัตถุแปลกปลอมมาติดตั้งตรงทางเข้า

เวลา 09.35 น. หลังจากนายอภิสิทธิ์กล่าวเปิดประชุมตอนหนึ่งว่า ตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์พรรค มักจะมีคนพูดเสมอว่า ยามใดที่ประเทศมีวิกฤต ยามนั้นพรรคประชาธิปัตย์จะต้องเข้ามารับผิดชอบประเทศชาติบ้านเมือง เชื่อว่าเหตุการณ์หลายๆ อย่างตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องเข้ามารับผิดชอบบริหารบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง

จากนั้น นายอภิสิทธิ์ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่การเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2550 เพื่อยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลตามครรลองประชาธิปไตย และตนเองได้เป็นนายกฯ เนื่องจาก ส.ส.ส่วนใหญ่ในวันนั้นมองเห็นว่าบ้านเมืองไม่สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ เมื่อไม่อาจปล่อยให้อยู่ในสภาพเช่นนั้นได้ จึงตัดสินใจเปลี่ยนแปลง และให้โอกาสพรรคอันดับ 2 คือพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล

"โอกาสที่ประชาชนกำลังหยิบยื่นให้กับเราในการดูแลปัญหานั้น เราจะใช้ไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และเพื่อความมั่นคงของประเทศในระยะยาว นี่คือภาระหน้าที่เบื้องต้นที่พวกเราทุกคนตระหนักดี วิกฤตการณ์ครั้งนี้มีทั้งความเหมือนและความต่าง และในวิกฤตการณ์เมื่อปี 2540 ที่พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องเข้ามาแก้ไขเช่นเดียวกัน" นายอภิสิทธิ์กล่าว

ถัดมา นายสุเทพยังกล่าวถึงยุทธศาสตร์ของพรรค 4 ปี (2551-2554) ว่า ถ้าอยากให้พรรคประสบผลสำเร็จในทางการเมืองจะต้องเอาชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป โดยจะต้องได้ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 280 คน เพื่อให้มากพอที่จะสนับสนุนการทำงานทางการเมืองของรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพ ตามยุทธศาสตร์ ดังนี้

1.สมาชิกพรรคมีอุดมการณ์ เข้มแข็ง ทุ่มเทรับใช้พรรค โดยการขยายฐานสมาชิกพรรคให้มีจำนวนมากขึ้นเพิ่มทุกเขต
2.แนวร่วมทางการเมืองแผ่ไพศาล โดยการขยายแนวร่วมทางการเมือง มุ่งเป้าไปยังกลุ่มเป้าหมายกลุ่มต่างๆ ทุกสาขาอาชีพ เพื่อรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนต่อสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์อันชอบธรรมของประชาชนทุกคน ทุกสาขาอาชีพ
3.สาขาพรรคเข้มแข็งพึ่งพาตนเองได้ โดยการปรับปรุงสาขาพรรคให้เข้มแข็งเพื่อรับภาระงานทางการเมือง
4.สมัชชาประชาชน-ประชาธิปัตย์ เพื่อการมีส่วนร่วมของประชาชน ตั้งสมัชชาประชาชน-ประชาธิปัตย์ในทุกภูมิภาค และในกลุ่มสาขาอาชีพ
5.ท้องถิ่นเข้มแข็งประชาธิปไตยมั่นคง โดยการส่งเสริมสนับสนุนการปกครองท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง คัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมส่งสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่นในนามพรรค
6.การจัดกลุ่มจังหวัดเพื่อช่วยให้การปฏิบัติงานทางการเมืองของพรรคมีประสิทธิภาพ แต่ละกลุ่มจะมีประธานและคณะกรรมการร่วมรับผิดชอบบริหารจัดการ ขึ้นตรงต่อกรรมการบริหารพรรค
7.พรรคเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ทางการเมือง
8.พรรคของมวลชนที่มีฐานการเงินมั่นคง ให้มีคณะกรรมการบริหารเงินทุนและมีหน่วยงานเฉพาะ ทำหน้าที่รณรงค์ระดมทุนหารายได้เข้าพรรคโดยวิธีการถูกต้อง เปิดเผย โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ จัดงานระดมทุนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ผ่านการจัดงานประชาธิปัตย์สัญจร
9.การประชาสัมพันธ์เชิงรุกอย่างเป็นระบบ เน้นบทบาทและผลงานของกรรมการบริหารพรรค สมาชิกพรรค นโยบายของพรรค ตามสื่อต่างๆ
10.เตรียมความพร้อมเพื่อการเลือกตั้ง จัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการเลือกตั้ง เตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ในการรณรงค์เข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า โดยเฉพาะการเลือกผู้สมัครเลือกตั้งในเขตต่างๆ
11.พรรคเข้มแข็งมีประสิทธิภาพ เป็นที่พึ่งของประชาชนในสภาผู้แทนราษฎร ให้ ส.ส.ทำงานอย่างแข็งขัน เป็นปากเสียงแทนประชาชน
12.ส่งเสริมความร่วมมือและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระดับนานาชาติ ด้วยการสร้างความสัมพันธ์ระดับสากลและองค์กรประชาชาติต่างๆ
13.นโยบายพรรคทันสมัย สอดคล้องสถานการณ์ที่เปลี่ยน พร้อมเป็นรัฐบาลที่ดีของประชาชนในการบริหารประเทศ
14.ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยในพรรคและสนับสนุนการเมืองภาคประชาชน
15.องค์กรพรรคเข้มแข็ง พรรคแข็งแรง ส่งเสริมบุคลากรของพรรคให้เป็นมืออาชีพ ทันสมัย และเทคโนโลยี

นอกจากนี้ นายสุเทพรายงานแผนการรับรองงบการเงินประจำปี 2551 มีรายรับทั้งสิ้น 230,918,245 บาท ที่มาจากกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมืองของ กกต. 42,462,827 บาท ระดมทุน 124,133,349 บาท บริจาค 62,928,777 บาท ส่วนรายจ่ายมีทั้งสิ้น 132,921,829 บาท รวมมีรายรับสูงกว่ารายจ่าย 97.9 ล้านบาท มีหนี้สินประมาณ 21,777,596 บาท ทรัพย์สินมีทั้งสิ้น 127,801,102 บาท และมีอสังหาริมทรัพย์ 4,656,088 บาท

ที่ประชุมยังได้รายงานแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี 2553 วงเงินกว่า 117 ล้านบาท เช่น การขยายฐานสมาชิกพรรค 8.3 ล้านบาท, พัฒนาสาขาพรรคให้เข้มแข็ง 22.7 ล้านบาท, ขยายแนวร่วมทางการเมือง 1 ล้านบาท, โครงการ "สมัชชาประชาธิปัตย์" เพื่อการเมืองมีส่วนร่วมทางการเมือง 9.1 ล้านบาท, แผนงานจัดหารายได้และจัดงานระดมทุน 10 ล้านบาท และแผนงานประชาสัมพันธ์พรรค 24 ล้านบาท ปิดประชุมในเวลา 15.20 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมยังอนุมัติแก้ไขข้อบังคับพรรคใหม่ในประเด็นการสมัครสมาชิกพรรค ซึ่งลดจำนวนบุคคลรับรองจาก 5 คน เหลือเพียง 2 คน และจากเดิมอำนาจอนุมัติเป็นของคณะกรรมการบริหารพรรค แก้ใหม่เป็นอำนาจของเลขาธิการพรรคโดยผ่านนายทะเบียนพรรค และให้รายงานต่อคณะกรรมการบริหารพรรคทราบ จึงทำให้มีผู้สนใจมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคบริเวณหน้างานอย่างคึกคัก โดยสมาชิกจะได้รับบัตรแบบสมาร์ทการ์ดเพื่อความรวดเร็วและทันสมัย

ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า ในการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยวันที่ 31 มีนาคมนี้ จะรวบรวมรายชื่อ ส.ส.ให้ครบ 116 คน จากนั้น วันที่ 2 เมษายน จะยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภาเพื่อส่งต่อให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ขอให้ถอดถอนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากมีพฤติการณ์ส่อจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดกฎหมาย กรณีไปทำหน้าที่ประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) โดยไม่มีอำนาจ ขัดกับ มาตรา 30 และมาตรา 42 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ซึ่งกำหนดเฉพาะว่าให้นายกฯเป็นประธาน ก.ตร.โดยตำแหน่ง กรณีที่ประธาน ก.ตร.ไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ที่ประชุมเลือกคนหนึ่งขึ้นมาเป็นประธาน ดังนั้น การประชุมที่ผ่านมาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจส่งผลให้การแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนั้นเป็นโมฆะได้

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ในวันที่ 31 มีนาคม จะเข้ายื่นหนังสือต่อกรมสรรพากรขอให้ตรวจสอบกรณีพรรคประชาธิปัตย์ปกปิดเงินบริจาคจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ว่า นำเงินไปคำนวณการเสียภาษีหรือไม่

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์