“มาร์ค”ปัดกู้เงิน400ล้านดอลลาร์ฯจากจีน

เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (25 มี.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการออกเช็คช่วยชาติที่จะถึงมือผู้ประกันตนในวันที่ 26 มี.ค.ว่า จะเป็นจุดหนึ่งซึ่งเรากำลังจะช่วยเสริมกำลังซื้อของผู้มีรายได้น้อย

และต้องการให้การหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจในขณะนี้ผ่านช่วงนี้ไปได้ เพราะเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุด ดังนั้นโครงการเช็คช่วยชาติกับมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ ที่มีการใช้เงินงบประมาณกลางปี ซึ่งกำลังออกมาในช่วง
2 เดือนนี้ก็หวังว่าจะช่วยทำให้เรารักษากิจกรรมทางเศรษฐกิจไปได้ ส่วนการลงทุนต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ตามมาตรการอื่นๆ ทั้งงบปกติด้วยที่มีความล่าช้า ส่วนที่มีบางฝ่ายเป็นห่วงว่าสิ่งที่รัฐ บาลดำเนินการอยู่นั้นเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบผิวเผินเท่านั้น ความจริงมาตรการที่ทำอยู่นั้นเป็นมาตรการเฉพาะหน้า ไม่ได้เป็นมาตรการเดียว จะต้องมีมาตรการอื่นๆ ตามมา ขณะนี้ก็กำลังเตรียมการอยู่ ซึ่งการประชุมครม.เศรษฐกิจวันนี้ ก็จะคุยในเรื่องการลงทุนกรอบ 3 ปี ข้างหน้า


นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกระข่าวการขอกู้เงินจำนวน 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากจีน ว่า ที่รัฐบาลเสนอต่อรัฐสภาในวันนี้ มีแค่กรอบการกู้เงินจากธนาคารโลก เอดีบี และไจก้า เท่านั้น

ในส่วนโครงการการกู้เงินจากจีนนั้น ยืนยันว่าไม่มี อย่างไรก็ตามในช่วงบ่าย รมว.ต่างประเทศของจีน จะมาพบกับตน ส่วนหนึ่งเพราะตนจะมีการพบปะกับผู้นำจีนในระหว่างการประชุมจี-
20 และผุ้นำจีนเองต้องมาประเทศไทยในการประชุมอาเซียนบวก 3 ดังนั้น คงจะมีการแลกเปลี่ยนกัน และที่ผ่านมาตนได้มอบหมายให้ นายวีระชัย วีระเมธีกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางไปจีน 2-3
ครั้ง เพื่อดูปัญหาในเรื่องการท่องเที่ยวและยางพารา ก็จะมีการมาติดตามประเด็นเหล่านี้และเตรียมการในการพบกัน ยืนยันว่าการพบกับรมว.ต่างประเทศจีนในวันนี้ไม่มีการพูดคุยเรื่องเงินกู้แน่นอน

ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 09.45 น. นายอภิสิทธิ์ แถลงการจัดงานมหกรรม “ไทยรวมพลังกู้เศรษฐกิจชาติ” ว่า โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่าง 4 หน่วยงาน

คือ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคม และกระทรวงการคลัง โดยจัดงานระหว่างวันที่ 3-9 เมษายน ที่ อิมแพคเมืองทองธานี ทั้งนี้ในงานดังกล่าวจะมีการนำสินค้าราคาถูกมาจำหน่ายให้กับประชาชนเพื่อช่วยเหลือประชาชนในยามวิกฤตเศรษกิจ และคาดว่าจะมีประชาชนมาร่วมงานถึง 7 แสนคนรวมทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้ ประกันตนที่ได้รับเช็คช่วยชาติ 200 วันต่อคน รับคูปองเงินสดมูลค่า 200 บาท เพื่อซื้อสินค้าภายนานด้วย อย่างไรก็ตามรัฐบาลมั่นใจว่างานนี้จะเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้และยังเป็นแบบอย่างที่ดีในการทำงานเชิงบูรณาการร่วมกัน

ขณะที่เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ รร.มิราเคิล แกรนด์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวระหว่างการปาฐกถาในหัวข้อการขับเคลื่อนนโยบายเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น
ตอนหนึ่ง ว่า

วันนี้ประเทศได้เผชิญอยู่ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรงเช่นเดียวกับประเทศอื่นทั่วโลก ทำให้ประชาชนมีความรู้สึกไม่มั่นคงในเรื่องรายได้และอนาตของตัวเอง โดยสิ่งที่รัฐบาลถือเป็นแนวทางสำคัญในการแก้ไขวิกฤติคือต้องมีความชัดเจนในการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยในระยะสั้นต้องไม่ให้วิกฤติเศรษฐกิจลุกลามเป็นวิกฤติทางสังคมซึ่งจะนำมาสู่ความขัดแย้งที่รุนแรง หรือ เลวร้ายที่สุดในบางกรณี อาจจะเกิดความล่มสลายของระบบได้ นอกจากนี้การที่รัฐบาลจะดูแลไม่ให้เศรษฐกิจลุกลามเป็นวิกฤติทางสังคม คือ ต้องดูแลผู้ด้อยโอกาส และผู้อ่อนแอในสังคม


นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า เมื่อประเทศฟื้นตัว และเดินออกจากวิกฤติแล้วเราต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลายอย่างเพื่อให้ปัญหาที่สะสมและหมักหมม มานานได้รับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ตนไม่เชื่อว่ารัฐบาลนี้จะแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้โดยลำพัง แต่ต้องอาศัยทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนโดยเฉพาะอาศัยชุมชนและครอบครัว ซึ่งถ้าขับเคลื่อนฐานรากไม่สำเร็จการเดินหน้าตอบสนองต่อความผาสุกของประชาชนจะเป็นเรื่องยาก เพราะฉะนั้น ถือว่าชุมชนเป็นหน่วยพื้นฐานที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ชี้ขาดถึงอนาคตของประเทศชาติบ้านเมือง ซึ่งตั้งแต่ตนเข้ามาเป็นนักการเมือง ก็ให้ความสำคัญกับความเคลื่อนไหวของชุมชนจนเกิดการจัดตั้งองค์กรปกครองท้องถิ่น( อปท.) และหัวใจของการกระจายอำนาจ คือ ภารกิจที่จะทำอย่างไรให้ใกล้ชิด และทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ไม่ใช่คัดลอกระบบราชการมากระจายอยู่ทั่วประเทศ และไม่ว่า อปท. จะมีปัญหาอย่างไร ทิศทางการกระจายอำนาจยังคงเป็นทิศทางที่ถูกต้อง ซึ่งรัฐบาลได้ปรับปรุงกฎหมายท้องถิ่นหลายฉบับ เพื่อให้ อปท.บริหารจัดการ และทำงานได้บนหลักการธรรมาภิบาล


นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ในการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกของรัฐบาลหลายคนบอกว่าไม่สอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืน ขอยืนยันว่า รัฐบาลตระหนักดีว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนั้นในที่สุดจะต้องหมุนกลับมาที่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

แต่ในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้านั้นรัฐบาลมีทางเลือกไม่มากนัก หากไม่อัดฉีดเม็ดเงินลงไปจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน และรายได้ของเกษตรกร เราจึงต้องอัดฉีดเม็ดเงินลงไป และหลังจากนี้จะมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีก คาดว่า ภายใน
2 สัปดาห์นี้ จะเห็นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนและเกี่ยวข้องกับการลงทุนและการพัฒนาอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในรอบแรกมีอย่างน้อย 2 โครงการ ที่สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนคือโครงการชุมชนพอเพียง ที่จะส่งเม็ดเงินลงไปสู่ชุมชนโดยคำนึงถึงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ ยึด 4 แนวทาง คือ พัฒนาอาชีพ พัฒนาการเกษตร อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และ อนุรักษ์พลังงาน โดยในวันที่ 26 มี.ค. ตนจะไปเปิดโครงการดังกล่าวและส่งเงินจำนวน 1,000 ล้านบาทไปยังชุมชนต่างๆ และโครงการต้นกล้าอาชีพ ที่จะทำให้ประชาชนอย่างน้อย 5 แสนคน มีช่องทางประกอบอาชีพ และถือโอกาสปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจไปด้วย

นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลแก้ไขปัญหาพื้นฐานต่างๆ ของประชาชน เช่นการแก้ไขปัญหาที่ทำกิน การปรับโครงการปลูกต้นไม้ใช้หนี้เป็นธนาคารต้นไม้ ซึ่งจะทำให้ต้นไม้เป็นทรัพย์สิน แก้ไขปัญหาหนี้สินได้ทั้งใน และนอกระบบ สร้างสมดุลสิ่งแวดล้อม

ซึ่งรัฐบาลถือว่าเรื่องนี้เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล นอกจากนั้น รัฐบาลยังมีนโยบาย จัดสวัสดิการชุมชนด้วยการออมทรัพย์ โดยโครงการเบี้ยยังชีพจะเป็นตัวเริ่มต้น เพราะเราคิดว่าผู้สูงอายุควรจะต้องมีสิทธิในฐานะผู้สูงอายุไม่ใช่การสงเคราะห์งานเหล่านี้ถือว่าเป็นงานที่ไม่ง่ายและต้องเรียนรู้ปัญหาอุปสรรคต่างๆ แต่ตนและรัฐบาลมั่นใจว่าเป็นทิศทางที่ประเทศจะต้องเดินไปข้างหน้า เงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างและการพัฒนาทุกอย่างจะต้องมุ่งไปสู่ความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดี ในช่วง
2-3 ปีข้างหน้านี้ ตนเชื่อว่าประชาชนจำนวนมากจะต้องประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ในการพลิกฟื้นจะต้องมาจากหลักความยั่งยืนพอเพียงพึ่งพาตนเองมาเป็นตัวขับเคลื่อน ชุมชนถือเป็นกำลังสำคัญในการขยายผลตรงนี้และถือว่าเป็นหุ้นส่วนสำคัญในการพลิกฟื้นประเทศ ส่วนรัฐบาลยืนยันว่าจะทุ่มเทการทำงานอย่างเต็มที่

เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์