เป็นไปตามคาด การโหวตไม่ไว้วางใจผ่านฉลุย นายกรัฐมนตรีและรัฐ มนตรีอีก 5 คนสอบผ่าน
นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ได้คะแนนเท่ากันคือ ไว้วางใจ 246 เสียง ไม่ไว้วางใจ 176 เสียง งดออกเสียง 12 และไม่ออกเสียง 15
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ได้คะแนนไว้วางใจ 246 เสียง ไม่ไว้วางใจ 167 เสียง งดออกเสียง 20 และไม่ออกเสียง 14
นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ได้คะแนนไว้วางใจ 246 เสียง ไม่ไว้วางใจ 168 เสียง งดออกเสียง 18 และไม่ออกเสียง 15
รายสุดท้าย นายกษิต ภิรมย์ รมต.ต่างประเทศ ได้คะแนนบ๊วย เพราะไว้วางใจน้อยที่สุดแค่ 237 เสียง ไม่ไว้วางใจ 184 เสียง งดออกเสียง 12 และไม่ออกเสียง 15
ความจริงพรรคเพื่อไทยรู้อยู่เต็มอกแล้วว่า ไม่มีแรงจูงใจพอจะดึงพวก"งูเห่า" ให้กลับมายกมือสนับสนุนฝ่ายค้าน
คะแนนมันจึงห่างกันมาก
แต่พรรคเพื่อไทยก็ยังมีความหวังกับข้อมูลเส้นทางเงิน 263 ล้านบาท ที่อ้างว่าเป็นหลักฐานเด็ดน็อกพรรคประชาธิปัตย์ได้ในภายหลัง โดยเตรียมที่จะ นำหลักฐานเช็คจ่ายเงินและหลักฐานการเชื่อมโยงถึงกลุ่มคนที่ใกล้ชิดของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์หลายคนไปยื่นต่อป.ป.ช. และกกต.
ถือว่าเป็นอีกแนวทางที่ฝ่ายค้านจะใช้เล่นงานรัฐบาลนอกสภา เพราะหาก ว่าการตรวจสอบออกมาเป็นความจริง
นั่นหมายถึงการยุบพรรคประชาธิปัตย์ทีเดียว !!
อีกกรณีที่มีผลสั่นคลอนรัฐบาลพอสมควร คือการซักฟอกรมต. กษิต ภิรมย์
นายกษิตโดนฝ่ายค้านยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ ประเด็นหลักๆ ก็กล่าวหาเรื่องความสัมพันธ์กับพันธมิตรฯ หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นโควตารัฐมนตรีของ พันธมิตร และประเด็นสำคัญคือบทบาทของนายกษิตเมื่อครั้งที่ร่วมนำม็อบพันธมิตรบุกยึดทำเนียบและสนามบินอีก 2 แห่ง
ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ กรณีนายกษิตฮอตไม่แพ้เรื่องเงิน 263 ล้านบาทเลย
ส.ส.หญิงหลายคนลุกขึ้นชำแหละบทบาทนายกษิตเมื่อครั้งไฮด์ปาร์กตอน ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ตอกย้ำทั้งวาทะสะท้านเมือง "อาหารดี ดนตรีเพราะ" และคำกล่าวถึงนายกฯฮุนเซน กระหึ่มสภาทีเดียว
การชี้แจงของนายกษิตเองก็ไม่ได้ปฏิเสธความสัมพันธ์กับพันธมิตร และยังยืนยันถึงอุดมการณ์ที่แน่วแน่กับการต่อต้านระบอบทักษิณ
สุดท้ายคะแนนออกมาอยู่ในอันดับบ๊วย มีคะแนนไว้วางใจเหลือแค่ 237 เสียง ซึ่งถ้าคิดจากทั้งสภา 447 เสียง เท่ากับรมว.ต่างประเทศ ได้คะแนนสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งแค่ 13 เสียงเท่านั้น
และเชื่อว่าน่าจะมีส.ส.ในฟากรัฐบาลยกมือไม่ไว้วางใจนายกษิตเสียด้วย
จุดนี้อาจบ่งบอกปัญหาอะไรบางอย่างในพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วม รัฐบาลด้วยกันเอง !?
ถึงแม้ว่านายกฯอภิสิทธิ์จะรีบออกมายืนยันว่าไม่มีการปรับครม. ไม่มีการ เปลี่ยนตัวรมว.ต่างประเทศ
แต่ในความเป็นจริงนายกฯปฏิเสธไม่ได้ว่าผลโหวตของนายกษิตส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพพอสมควร
และอาจย่ำแย่กว่านี้ หากมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งต่อๆ ไป
นายกฯมาร์คต้องชั่งใจว่าจะยอมให้นายกษิตเป็น "จุดอ่อน" ต่อไป
หรือจะยอมเปิดศึก 2 ด้าน
รบกับทั้งเสื้อแดงและเสื้อเหลืองไปพร้อมๆ กัน !!