"เพื่อไทย"ปูดแจก1ล้านแลกยกมือไว้วางใจ ยันไม่ขับ"งูเห่า" ปชป.ขู่ฟ้องยุบ"เพื่อไทย"หลังจับเท็จได้6ปม
นายกฯยืนกรานไม่ปรับ ครม. แต่พร้อมรับฟังเสียงสะท้อน พท.ประเมิน พอใจการอภิปราย ชี้ไม่กล้าปรับ รมว.บัวแก้ว เหตุ รบ.กลัวเผชิญศึก 2 ด้าน ยกผลสำรวจความคิดเห็นชู"เฉลิม"ไม่ใช่จำอวด ปูดแจก1 ล้านแลกงดออกเสียง ปชป.ขู่ฟ่อฟ้องยุบเพื่อไทย อ้างจับเท็จได้จะจะ 6 เรื่อง ภท.ปัดทุ่มเงินซื้อเสียงไว้วางใจ
พท.ขอบใจเพื่อนซักฟอกช่วยชี้เป้า
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ที่อาคารบีบีดี บิวดิ้ง สำนักงานพรรคว่า โดยภาพรวมพรรคพอใจการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี 5 คน แม้เสียงออกมาแตกต่างกันบ้าง โดยรัฐบาลยังคงได้รับการไว้วางใจก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณพรรคพวกที่ออกจากพรรคไปก่อนหน้านี้ที่ได้ชี้เป้าให้เห็นว่าใครยังยึดโยงอุดมการณ์อยู่กับพรรคต่อไป ซึ่งจะช่วยให้การบริหารจัดการในพรรคเป็นไปอย่างง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม การลงคะแนนโหวตก็มีบางส่วนที่เป็นข้อผิดพลาดทางเทคนิค
สำหรับ ส.ส.พรรคที่ไม่โหวตไปในทิศทางเดียวกันนั้น ผู้ใหญ่ในพรรคได้พูดคุยกันแล้ว และเห็นว่ารัฐธรรมนูญให้เอกสิทธิ์การโหวตของ ส.ส. แต่พรรคการเมืองต้องมีระเบียบวินัย ดังนั้น จึงต้องพูดคุยหารือกัน
"พรรคเพื่อไทยคงไม่ขับ ส.ส.ออกจากพรรค แต่จะมีการพูดคุยกันเพราะบางที ส.ส.บางคนที่งดออกเสียงเกิดจากผู้ที่ออกจากพรรคพลังประชาชนเดิม อาจไปชักจูงด้านข้อมูลบางเรื่อง เหตุผลบางประการ เพราะฉะนั้น เราต้องมาพูดคุยปรับความเข้าใจกันในการประชุมพรรควันที่ 24 มีนาคม ซึ่งเป็นการประชุมสามัญประจำปี แต่การประชุมนี้ไม่มีวาระการเลือกหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคเพิ่มเติม" นายพร้อมพงศ์กล่าว
ซัดถ้า"กษิต"ไม่หนาเกิน"ต้องออก"
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ไม่ทราบกระแสข่าวการซื้อตัว ส.ส. เรื่องนี้ต้องไปถาม ส.ส.ที่งดออกเสียงว่ามีเรื่องนี้จริงหรือไม่ ขณะนี้มีนายปรพล อดิเรกสาร ส.ส.สระบุรี พท.เพียงคนเดียวที่มีความชัดเจนว่าต้องการไปร่วมงานทางการเมืองกับพรรคการเมืองอื่น ส่วน ส.ส.คนอื่นที่งดออกเสียงนั้น อาจเป็นเพราะรู้จักมักคุ้นกับรัฐมนตรีคนนั้น เลยงดออกเสียงก็เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งจะต้องมีการพูดคุยต่อไป
นายพร้อมพงศ์กล่าวถึงนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้รับเสียงโหวตไม่ไว้วางใจสูงสุด 184 เสียง และเสียงไว้วางใจต่ำสุด 237 เสียง ว่า เห็นชัดว่าขาดเสียงสนับสนุนไป 9 เสียง เป็นนัยยะที่สำคัญทางการเมืองของพรรครัฐบาลเพราะ ก่อนหน้านี้มี ส.ส.ประชาธิปัตย์บางคนจะขอร่วมอภิปรายพร้อมฝ่ายค้าน แต่นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้เบรกเกมนี้ไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นคงจะได้เห็นอะไรดี ๆ วันนี้ได้เห็นจริยธรรมขั้นพื้นฐานของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่โดดอุ้มนายกษิต เพราะเสียงไม่ไว้วางใจขนาดนี้ ถ้าเป็นประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้ว อย่างประเทศแถวยุโรป ประเทศญี่ปุ่น ถ้านายกษิตไม่หนาจนเกินไป ต้องลาออกแล้ว นายกฯทำตัวเป็นเจ้าบุญทุ่มยังไม่พอ ยังเป็นเจ้าบุญอุ้มอีก ซึ่งสาเหตุที่นายอภิสิทธิ์ไม่กล้าปลดนายกษิต เพราะไม่อยากเปิดศึก 2 ด้าน ไม่อยากมีปัญหากับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในระหว่างที่จะมีการชุมนุมของคนเสื้อแดง จึงยื่นไมตรีตรงนี้ ทั้งที่กลุ่มสนับสนุนรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลแทบจะรับไม่ได้
ว่า"สุเทพ"ไม่รู้จริงปมขู่ระวังยุบเพื่อไทย
"พรรคพอใจการทำหน้าที่ของ ร.ต.อ.เฉลิม เฉลิม อยู่บำรุง (ผู้นำการอภิปราย) มาก รวมถึงประชาชนที่สะท้อนความคิดเห็นผ่านคอลเซ็นเตอร์ด้วย รวมทั้งเอแบคโพลที่สะท้อนว่าการอภิปรายครั้งนี้จะมีผลต่อพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การอภิปรายของพรรคฝ่ายค้านไม่ใช่การจำอวด" นายพร้อมพงศ์กล่าว
โฆษก พท.กล่าวว่า พรรคจะร้องทุกข์กล่าวโทษนายอภิสิทธิ์ ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามกฎหมายอาญา มาตรา 157 เนื่องจากยังปล่อยให้นายกษิตทำหน้าที่ต่อ ทั้งที่นายกษิตเป็นผู้ต้องหาในคดีปิดสนามบิน ส่วนที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ขู่ว่า พท.จะถูกยุบพรรคครั้งที่ 3 ที่ไปกล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวข้องกับเงิน 258 ล้านบาทนั้น ทำให้เห็นว่า นายสุเทพไม่รู้จริง เพราะ ร.ต.อ.เฉลิมไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค และการพูดในสภามีเอกสิทธิ์คุ้มครอง ซึ่งบางเรื่องหลักฐานของพรรคชัดเจนกว่าของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อีก อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ฝ่ายกฎหมายพรรคจะส่งเรื่องให ้กกต.ดำเนินการต่อ
ไม่ขับ"งูเห่า"เหตุกลัวเข้าทาง
นายคณวัตร วศินสังวร รองหัวหน้า พท. กล่าวว่า ที่มี ส.ส.พรรคบางคนงดออกเสียงในการลงมติญัตติไม่ไว้วางใจนายกฯและ 5 รัฐมนตรีนั้น ไม่ได้ผิดความคาดหมาย จำนวนและตัวบุคคลที่เป็นงูเห่า ถือว่าใกล้เคียงกับที่แกนนำพรรคคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม จำนวน ส.ส.พท.ที่ลงมติสนับสนุนรัฐบาลนั้น แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ กลุ่มที่ปันใจไปอยู่พรรคอื่น และกลุ่มที่ลงมติผิดพลาดทางเทคนิค โดยที่ลงคะแนนผิดนั้นได้ติดต่อมายังคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อขอชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว สำหรับกลุ่ม ส.ส.ที่เป็นงูเห่านั้น พรรคจะหารือและออกมาตรการดำเนินการกับบุคคลกลุ่มนั้นต่อไป แต่ยืนยันว่าพรรคจะไม่มีมติขับออก
"ต้องขอบคุณ ส.ส.กลุ่มนั้นด้วย ที่ทำช่วยชี้เป้าให้เราอย่างชัดเจนว่าใครเป็นใคร จนทำให้พรรคเพื่อไทยสามารถบริหารจัดการอย่างเป็นระบบได้ แต่พรรคเองมีระเบียบวินัยในพรรค ดังนั้นเรื่องนี้จะมีการพูดคุยกันเพื่อออกมาตรการ แต่จะไม่มีการขับ เพราะจะไปเข้าทางเขาเข้า ก็ให้อยู่กันไปแบบนี้แหละ" นายคณวัตรกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีรายงานหรือไม่ว่าเหตุผลที่ส.ส.ปันใจไปโหวตสนับสนุนรัฐบาลมาจากเรื่องผลประโยชน์ตอบแทน นายคณวัตร กล่าวว่า ได้ข้อมูลมาเช่นนั้น เพราะมีส.ส.มาเล่าให้ฟัง แต่ไม่อยากจะให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ ทั้งนี้กรรมการบริหารพรรคมีความพอใจการอภิปรายไม่ไว้วางใจของส.ส.ครั้งนี้มาก โดยเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ กกต.ที่จะดำเนินการสอบสวนสืบสวนต่อไป
นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า มาตราการการจัดการกับงูเห่าของพรรคเพื่อไทยนั้น คงไม่มีอะไรเพราะพรรคมีแต่ ส.ส.ที่งดออกเสียง จึงถือเป็นเพียงงูเขียวเท่านั้น ไม่ใช่งูเห่าเพราะหากเป็นงูเห่าต้องโหวตสนับสนุนรัฐบาลไปแล้ว เอาไว้ให้มีงูเห่าก่อนพรรคเพื่อไทยค่อยดำเนินการ
ยังฝัน"มาร์ค"ยุบสภาใน2เดือน
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พท. กล่าวว่า กรณีการไซฟ่อนเงินผ่านบริษัทเมสไซอะ ครีเอชั่นแอนด์บิสิเนสผ่านเข้าพรรคประชาธิปัตย์นั้น ถือว่าเป็นอาชญากรทางเศรษฐกิจ โดย พท.จะมอบหมายให้ประธานกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน เชิญตัวแทนจากสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เข้าชี้แจงต่อกรรมาธิการในกรณีดังกล่าว เพราะเรื่องนี้จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ นอกจากนี้พรรคจะส่งข้อมูลหลักฐานทั้งหมดมอบให้กับคณะ กกต.เพื่อดำเนินการยุบพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป และเชื่อว่าภายใน 2 เดือนนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะประกาศยุบสภาก่อนที่การยุบพรรคจะเกิดขึ้น
"พรรคประชาธิปัตย์เองก็รู้ตัว เห็นได้จากไปจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ไว้แล้ว และยังให้รัฐมนตรีของพรรคลงพื้นที่ในลักษณะที่ว่าหาเสียงล่วงหน้าอีกด้วย รวมไปถึงปฏิกิริยาของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ออกอาการโกรธและขู่ว่าพรรคเพื่อไทยจะถูกยุบอีกรอบหนึ่ง ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นการโกรธแก้เกี้ยวหลังจากที่ไม่สามารถตอบคำถามพรรคเพื่อไทยได้" นายวรวัจน์กล่าว
"จุมพฎ"ฉุนถูกแบนข้อมูลแม่"มาร์ค"
นายจุมพฎ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร พท. หนึ่งในผู้งดออกเสียงลงมติไม่ไว้วางใจนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการงดออกเสียง โดยอ้างเหตุผลไม่พอใจที่ถูกห้ามอภิปรายประเด็นมารดาของนายกรัฐมนตรี ทำให้เหมือนถูกฆ่าทั้งเป็น เพราะชาวสกลนครเฝ้ารอดูการอภิปรายอยู่ โดยต่อไปจะไม่เข้าร่วมกิจกรรมกับพรรคและจะใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญ ผมยืนยันว่าการกระทำครั้งนี้ไม่ได้เอาใจไปฝักใฝ่พรรคการเมืองใด รวมถึงไปรับเงินของใครด้วยซึ่งกล้าสาบานว่าถ้าไปรับเงินจริงก็ขอให้ฉิบหายทั้งตระกูล นายจุมพฎกล่าว
"มาร์ค"คำเดิมเสียงหนุนเกินคาด
ขณะที่นายอภิสิทธิ์กล่าวในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีว่า ขอบคุณ ส.ส.ที่ลงมติไว้วางใจตน และ 5 รัฐมนตรี ให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป ทั้งนี้ ประเด็นใดที่เป็นข้อท้วงติง ฝ่ายค้านหยิบยกขึ้นมาอภิปรายและเห็นว่าเป็นประโยชน์ จะสั่งการให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) รวบรวมประเด็นเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป และภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจผ่านพ้นไป รัฐบาลจะเดินหน้าทำงานต่อไปภายใต้การตรวจสอบของประชาชน
สำหรับเสียงโหวตไว้วางใจที่นายกฯและรัฐมนตรี 4 คนได้เท่ากันคือ 246 เสียงนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า วิปรัฐบาลคำนวณตัวเลข ส.ส. รัฐบาล หักด้วยรัฐมนตรีที่เป็น ส.ส. และไม่สามารถลงคะแนนได้ โดยตัวเลขอยู่ที่ 237 เสียง และมีผู้ลาประชุม หรือมาไม่ทันอีก 3-4 คน ก็จะเหลือประมาณ 233-234 เสียง ดังนั้น การได้รับคะแนนไว้วางใจ 246 เสียง ต้องถือว่ามากกว่าที่คาคคิด
"อย่าไปเรียกเขาเป็นงูเห่าเลย เพราะ ส.ส.มีเอกสิทธิ์ มีความเป็นอิสระตามรัฐธรรมนูญในการลงคะแนน ขณะเดียวกันมี ส.ส.จากพรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคประชาราช แม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์บางคนได้งดออกเสียงบ้าง ลงมติไว้วางใจบ้าง ลงมติไม่ไว้วางใจบ้าง ก็ต้องขอบคุณทุกเสียงที่ให้โอกาสรัฐบาลในการทำงานต่อไป หน้าที่หลังจากนี้คือเมื่อได้รับโอกาสแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด" นายอภิสิทธิ์กล่าว
"กษิต"บ๊วยแค่สะท้อนความรู้สึกส.ส.
ผู้ดำเนินรายการถามว่า นายกษิตได้รับคะแนนไว้วางใจเพียง 237 เสียง ถือเป็นจุดอ่อนที่ต้องกำจัดหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มันไม่มีเกมกำจัดจุดอ่อน ทุกอย่างอยู่ที่เรื่องประสิทธิภาพของการทำงาน และอยู่ที่การประเมินว่ามีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนหรือไม่ ซึ่งประเด็นที่นายกษิตถูกอภิปรายก็เป็นเรื่องการเคลื่อนไหวก่อนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และเรื่องกัมพูชา ซึ่งคิดว่าการชี้แจงของนายกษิตเป็นการชี้แจงที่ค่อนข้างชัดเจน แต่ว่าเข้าใจดีว่ามี ส.ส.จำนวนมากอาจมีมุมมองที่แตกต่าง และได้สะท้อนความรู้สึกนี้มาค่อนข้างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม คะแนนเสียงที่นายกษิตได้ 237 เสียง ก็มากกว่า 234 เสียงที่ตนระบุไว้
นายกฯฟังเสียงสะท้อนแต่ไม่ปรับ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ถึงเอแบคโพลล์ที่พบ ประชาชนต้องการให้ปรับนายกษิตออกจาก ครม.เป็นลำดับแรกว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด เดี๋ยวจะไปดู ตนจะฟังเสียงสะท้อนและข้อห่วงใยต่างๆ ที่เข้ามา อย่างไรก็ตาม นายกษิตไม่ได้มีปัญหาในการทำงาน ซึ่งงานด้านการต่างประเทศที่นายกษิตทำมาก็ไปได้ด้วยดี ประเด็นที่คนห่วงใยและติดใจคือการเคลื่อนไหวของนายกษิตก่อนหน้านี้ ซึ่งยืนยันได้ว่า 1.ถ้ามีคดีความอะไรต่างๆ ก็ต้องเดินหน้าอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีสิทธิเหนือคนอื่น และ 2.นายกษิตได้ยอมรับในสภาว่าจะใช้ความระมัดระวังมากขึ้น เพราะต้องยึดถือตามนโยบายของรัฐบาลเรื่องการไม่สร้างความแตกแยก
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างการให้นายกษิตปฏิบัติหน้าที่ต่อ กับแรงกดดันที่ถาโถมใส่รัฐบาล จะตัดสินใจอย่างไร นายกฯกล่าวว่า จะยึดถือว่าการทำงานต้องมุ่งที่ความสำเร็จของงาน ก็จะมีการประเมินกันตลอด
ส่วน ส.ส.กลุ่ม 12 พรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) ที่ยกมือไว้วางใจให้รัฐมนตรี มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะดึงเข้าร่วมรัฐบาลในการปรับ ครม.ครั้งต่อไป นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการปรับ ครม. แต่ถ้ามีเพื่อน ส.ส.สนับสนุนงานของรัฐบาลมากขึ้นก็ขอบคุณ และคงต้องคุยกับวิปรัฐบาลต่อไป เมื่อถามอีกว่า มีข่าวถึงขั้นว่า พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก หัวหน้ากลุ่ม 12 เตรียมแต่งตัวรอเป็นรัฐมนตรีแล้ว นายกฯกล่าวย้ำว่า ยังไม่ได้คิดเรื่องการปรับ ครม. ที่ผ่านมาเมื่อเห็นว่าคะแนนความไว้วางใจของรัฐมนตรีแต่ละคนมากกว่าจำนวน ส.ส. รัฐบาล ก็คิดว่าต้องเดินหน้าที่งาน
"กษิต" บอกไม่ดีจริงแม้วคงไม่เลือก
นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิก่อนเดินทางไปยังสหภาพพม่า ถึงคะแนนเสียงไว้วางใจต่ำสุดที่ได้รับว่า ทุกอย่างไม่มีปัญหา เพราะต้องดูที่ข้อเท็จจริง และอยากเห็นนักการเมืองรุ่นใหม่ช่วยกันพัฒนาประชาธิปไตย
นายกษิตกล่าวว่า หากตนเองไม่ดีจริง ช่วงเวลาหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณคงจะไม่ให้เป็นที่ปรึกษา ทั้งนี้ เป็นทูตที่โตเกียว และวอชิงตัน ตนกับ พ.ต.ท.ทักษิณต่างรู้มือรู้สภาพจิตใจกันมา ส่วนความแตกต่างเป็นเรื่องของจุดยืนทางการเมือง ไม่ใช่ปัญหาไม่ชอบขี้หน้ากัน คิดว่าความแตกต่างนี้ พ.ต.ท.ทักษิณและลิ่วล้อคงทราบดี ดังนั้น ไม่ควรสาดโคลนใส่กัน
ไม่เลิกขู่-ฟ้องยุบ"เพื่อไทย"
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า จากการตรวจสอบข้อมูลฝ่ายค้านสามารถจับเท็จได้ 6 เรื่อง คือ 1.หลักฐานการเป็น ส.ส.ของนายอภิสิทธิ์สมัยแรกที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคนั้นยืนยันว่า การสมัครเข้าเป็นสมาชิกนายอภิสิทธิ์ชัดเจนก่อนที่จะมาลงสมัคร ส.ส. 2.ปัญหาเศรษฐกิจปี 2540 จนเป็นที่มาของการกู้เงินจากองค์กรการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ไม่ได้เกิดขึ้นสมัยพรรคประชาธิปัตย์ แต่เกิดขึ้นสมัยพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี และมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นรองนายกฯที่ดูด้านเศรษฐกิจ 3.กรณีปราสาทพระวิหารที่บอกว่า รัฐบาลทำให้สูญเสียอธิปไตยไม่เป็นความจริง
4.กรณีของนายกษิตที่ฝ่ายค้านระบุว่า ถูกออกหมายจับก็ไม่เป็นความจริง ดังนั้น นายกษิตเองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปมอบตัว 5.กรณีการรับเงินจากบริษัทเอกชนจำนวน 258 ล้านบาท ยืนยันว่าพรรคไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจึงขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริง 6.กรณีเงินอุดหนุน 23 ล้านบาทที่กล่าวหาว่าไม่ได้นำไปใช้ตามวัตถุประสงค์และไม่มีการสั่งทำป้ายหาเสียงเรื่องนี้ก็ไม่เป็นความจริง
"ชัดเจนแล้วว่าหลักฐานที่ฝ่ายค้านนำมาอภิปรายไม่เป็นความจริง ดังนั้น ต้องดูข้อมูลที่จะยื่นต่อ กกต.ก่อน โดยพรรคก็ชี้แจงข้อเท็จจริงและจะดำเนินการฟ้องร้องเพื่อยุบพรรคเพื่อไทย" นพ.บุรณัชย์กล่าว
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล ส่วนตัวขอตั้งข้อสังเกตเพื่อให้ พท.ตระหนักกันว่า เรื่องเงิน 258 ล้านบาทเกิดขึ้นในปี 2547 ซึ่งอยู่ในช่วงการใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 ดังนั้น อยากให้ฝ่ายค้านไปดูให้ดีว่าควรเสี่ยงหรือไม่ เพราะหาก กกต.สอบแล้วไม่พบความผิด พท.ก็อาจจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ พท.ระบุรัฐบาลไม่กล้าปรับนายกษิตออก เพราะกลัวศึก 2 ด้านทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดงนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะนายกษิตไม่ใช่ตัวแทนกลุ่มพันธมิตร และมาถึงวันนี้ก็ชัดเจนว่านายกษิตไม่มีความผิด เพราะได้ชี้แจงในการอภิปรายจนได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนสมาชิก
"ภูมิใจไทย" ปัดทุ่มเงินซื้อเสียงไว้วางใจ
นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรงมหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย กล่าวกรณี ส.ส.ฝ่ายค้านระบุภูมิใจไทยจ่ายเงินซื้อตัว ส.ส.ให้ลงมติไว้วางใจ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เป็นความเท็จทั้งสิ้น เรื่องนี้คงต้องถามเจตนาผู้พูด การลงมติอยู่ที่การตัดสินใจของสมาชิก ทุกคนมีเอกสิทธิ์ การกล่าวหาว่าสมาชิกไปรับเงินคนโน้นคนนี้จึงเป็นการกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริง พรรคไม่เคยมีนโยบายอย่างนี้ พรรคถือว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเรื่องปกติของระบอบประชาธิปไตย เมื่อฝ่ายค้านมีหน้าที่ตรวจสอบก็ตรวจสอบไป
ส่วนกรณี กกต.จะส่งผลการตรวจสอบกรณีแจกเงินพร้อมนามบัตรให้ผู้มีรายได้น้อยไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในสัปดาห์หน้า นายบุญจงกล่าวว่า ทั้งหมดอยู่ที่กระบวนการขององค์กรอิสระ ในฐานะที่ถูกกล่าวหาได้ไปชี้แจง ในที่สุดแล้วขึ้นอยู่กับการพิจารณา
เพื่อไทยท้า"บุญจง" สาบาน-ปูดจ้าง1ล.
นายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด กลุ่มอีสานพัฒนา พท. เปิดเผยว่า ภายหลังการลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และ 5 รัฐมนตรีเสร็จสิ้นลง และพบว่ามี ส.ส.พท.งดออกเสียงไม่ไว้วางใจนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยจำนวน 7 คนนั้น ได้โทรศัพท์ไปสอบถามเพื่อน ส.ส.ที่เป็นหนึ่งในจำนวน 7 คนว่า ทำไมถึงงดออกเสียง ได้รับคำตอบว่า หากงดออกเสียงจะได้เงินจำนวน 1 ล้านบาท เป็นสิ่งตอบแทน แต่ไม่มั่นใจว่าจะได้รับทั้ง 7 คนหรือไม่ ซึ่งการที่นายบุญจงออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าไม่ได้จ่ายเงินนั้น แม้เรื่องนี้จะไม่มีพยานหลักฐาน แต่นายบุญจงกล้าสาบานหรือไม่ว่าหากโกหกขอให้ฝนตกแล้วฟ้าผ่านายบุญจง
เมื่อถามว่า ได้ถามเพื่อน ส.ส.หรือไม่ว่าหากถูกขับออกจาก พท. พรรคภูมิใจไทยยินดีต้อนรับนายศักดากล่าวว่า เชื่อว่าจะต้องมีผลผูกพันเช่นนั้น เพราะวันนี้ ส.ส.ต่างทราบดีว่าการย้ายพรรคจาก พท.ไปอยู่ที่อื่นจะทำให ้ส.ส.คนนั้นๆ มีปัญหาในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่การที่จะทำให้ ส.ส.เปลี่ยนใจไปอยู่พรรคภูมิใจไทยได้จะต้องมีเงื่อนไขที่ดีเป็นการแลกเปลี่ยน เช่น เงินสด งบประมาณในพื้นที่ การสนับสนุนการเลือกตั้งครั้งต่อไป และเงินสนับสนุนประจำเดือนซึ่งได้ยินมาว่าที่พรรคภูมิใจไทยมีฝนตกเดือนละ 2 แสน
กลุ่ม"ประชา"โต้หวังร่วมรัฐบาล
นพ.วัลลภ ไทยเหนือ ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 12 พผ. กล่าวปฏิเสธว่า การที่ ส.ส. กลุ่ม 12 บางส่วน ลงคะแนนไว้วางใจ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ถูกฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ได้เป็นการต่อรองทางการเมืองเพื่อหวังเข้าร่วมรัฐบาลในอนาคตแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเห็นว่าฝ่ายค้านนำเรื่องเก่ามาอภิปราย ขณะที่รัฐบาลสามารถชี้แจงข้อเท็จจริงได้ค่อนข้างดี ส่วนสาเหตุที่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ส.ส.สัดส่วน หัวหน้ากลุ่ม 12 งดออกเสียงในทุกกรณีนั้น ถือเป็นดุลพินิจของ พล.ต.อ.ประชาเอง ซึ่งถือว่าเหมาะสมและไม่ทำให้ภาพพจน์ของ พล.ต.อ.ประชาเสียหาย เนื่องจากก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.ประชาเคยเป็นแคนดิเดตนายกฯ คนที่ 27 คู่กับนายอภิสิทธิ์
คนยธ.ชี้เฉลิมได้ข้อมูลจากประจวบ
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงเรื่องที่นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พท. ออกมาระบุข้อมูลเรื่องเงิน 258 ล้านบาท ที่สมาชิกพรรคนำมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ มาจากดีเอสไอว่า ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว และที่ผ่านมาหลังตกเป็นข่าว ไม่เคยเข้าไปสอบถาม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นเรื่องการทำสำนวนคดีของดีเอสไอ ที่ยืนยันว่าไม่เคยเข้าไปแทรกแซง อย่างไรก็ตาม เป็นหน้าที่ของ พ.ต.อ.ทวีที่จะต้องเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่าข้อมูลดังกล่าวมาจากดีเอสไอ มีการเปิดเผยข้อมูลให้กับ พท.จริงหรือไม่ และหากพบว่ามีการนำข้อมูลออกไปเปิดเผยจริง จะออกไปได้อย่างไร บุคคลใดนำไปเปิดเผย เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเรียก พ.ต.อ.ทวีมาสอบถามแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะโฆษกดีเอสไอยืนยันว่า ดีเอสไอมีหน้าที่สอบสวนเฉพาะความผิดทางการเงิน ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เท่านั้น ส่วนประเด็นเรื่องพรรคการเมืองดีเอสไอ ได้ส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กลต.) วินิจฉัย
แหล่งข่าวจากกระทรวงยุติธรรมกล่าวว่า ข้อมูลที่ ร.ต.อ.เฉลิมหยิบยกขึ้นมาอภิปรายกรณีเงิน 258 ล้านบาทนั้น เป็นเนื้อหาเพียงบางส่วนที่พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สอบปากคำนายประจวบ สังข์ขาว อดีตกรรมการบริษัทเมสไซอะฯไว้และมีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ตรงกับรายละเอียดในสำนวน จึงคาดหมายว่าข้อมูลที่อภิปรายรวมทั้งหลักฐานการโอนเงินฝ่ายค้านน่าจะได้จากนายประจวบ เพราะขณะนี้นายประจวบ อยู่ในการดูแลของ ส.ส.ฝ่ายค้านบางคน