ปรากฏการณ์การพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาล จนได้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นปรากฏการณ์ที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยฉันใด
ก็ย่อมต้องจารึกการตัดสินใจของ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" ไว้ด้วยฉันนั้น เพราะการกลืนเลือดของ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" นั้น มาพร้อมกับข้อหาคิดคดทรยศต่อ "นายใหญ่" ที่ชื่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"
"รัฐบาลอภิสิทธิ์" ได้เข้ามาบริหารประเทศ มา ณ ขณะนี้ ก็ล่วงเลยมาเป็นเวลา 2 เดือนเข้าไปแล้ว
แน่นอน เมื่อรัฐนาวาเริ่มเคลื่อนตัวไป ภารกิจของแต่ละกลุ่มการเมือง ก็เดินไปตามจังหวะของตัวเอง
ภาพของการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ตั้งแต่ตำแหน่งปลัดกระทรวงที่นำ "วิชัย ศรีขวัญ" มาเสียบแทน "พีรพล ไตรทศาวิทย์" ภาพการแต่งตั้งโยกย้ายอธิบดีกรมสำคัญในกระทรวงมหาดไทย รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ที่เดินหน้าล้างบางกันอย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่สนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มองว่าล้วนเป็นมือไม้ของ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" จึงเกิดขึ้นเจนตา
แต่การเจริญเติบโตของ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" ย่อมไม่เป็นที่สบายใจของหลายฝ่าย ทั้ง "พรรคเพื่อไทย" "พรรคร่วมรัฐบาล" หรือแม้แต่ "พรรคประชาธิปัตย์" เอง
เพราะขึ้นชื่อตำรับ "เนวิน" เอาเข้าจริง คงไม่มีคาถาบทไหนควบคุมได้
สายสัมพันธ์ระหว่าง "กลุ่มเพื่อนเนวิน" กับ "พรรคประชาธิปัตย์" ในวันนี้ มีช่องว่างที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ธรรมชาติที่เรียกว่า "การเมือง"
แม้จะปรนเปรอสมนาคุณด้วยการตามอกตามใจสารพัด แต่ระยะหลัง "ประชาธิปัตย์" ก็เริ่มแข็งข้อ ไม่ยอมตามใจในทุกเรื่อง
เริ่มตั้งแต่การจัดทำงบประมาณรายจ่ายกลางปี ประจำปีงบประมาณ 2552 วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท ที่หั่นโครงการถนนไร้ฝุ่นวงเงิน 1.4 หมื่นล้านบาท ทิ้งเสียดื้อๆ
ถือเป็นครั้งแรกที่ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" ถูกเตะตัดขา และต้องจำยอม
เซียนการเมืองมองตรงกันว่า "ประชาธิปัตย์" ฉลาดพอที่จ่ายยาหยุดโต ของ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" เพราะหากให้มีความสะดวกสบายในการเก็บหอมรอมทุนเร็วเกินไป ย่อมมีผลโดยตรงต่ออายุรัฐบาล
แต่ก็ดูเหมือน "กลุ่มเพื่อนเนวิน" จะไม่ยอมตกอยู่ในเกม และพยายามเรียกร้องโครงการต่างๆ โดยตลอด ผ่านการตกลงกับ "สุเทพ" ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงคมนาคม มีอำนาจชงทุกเรื่องทุกโครงการของกระทรวงคมนาคมเข้า ครม.
การขออนุมัติงบฯ 500 ล้านบาท เพิ่มเติมโครงการก่อสร้างแอร์พอร์ตลิงก์ การขออนุมัติเพิ่มกรอบวงเงินก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-รังสิต บางซื่อ-ตลิ่งชัน ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มจาก 50,000 ล้านบาท เป็น 65,000 ล้านบาท รวมทั้ง งบฯจัดซื้อหัวรถจักรอีก 10,000 กว่าล้านบาท รวมเป็น 70,000 กว่าล้านบาทจึงผ่าน ครม.โดยไม่ยาก
และเมื่อน้ำกำลังขึ้น "โสภณ ซารัมย์" รมว.คมนาคม จึงเสนอใช้สนามบินสุวรรณภูมิเพียงแห่งเดียว เพื่อเป็นศูนย์กลางทางการบิน โดยมีเสียงจากการบินไทยเป็นแบ๊คอัพ
แต่มาถูกเตะตัดขาเข้าอย่างจัง เมื่อ "อภิสิทธิ์" เสียงแข็ง ไม่เห็นด้วย แถมไล่ให้ไปทำแผนมาให้ชัดก่อน อ้างและตั้งคำถามสารพัด ว่า แล้วจะเอาดอนเมืองไปทำอะไร แผนการขยายเฟส 2 สุวรรณภูมิก็ยังไม่ชัด อีกทั้งการเปิดเผยตัวเลขค่าใช้จ่ายที่ไม่ตรงกันอย่างสิ้นเชิง
รวมทั้งการที่ "อภิสิทธิ์" เอ่ยปากยอมรับคำถามจากสังคม ถึงข้อครหาการเอื้อบางอย่างให้กับกลุ่มธุรกิจ "คิงเพาเวอร์" หรือไม่?
วัดใจกันไปมา ยอมบ้าง แข็งบ้าง และภายใน 2 สัปดาห์นี้ ต้องจับตาอีกเช่นกัน เพราะจะมีการเสนอ ครม.เศรษฐกิจ ถึงกรอบแผนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสอง ในระยะกลางและยาว รวมถึงกรอบการจัดทำงบฯปี 2553 ที่จะมีโครงการเมกะโปรเจ็คต์ต่างๆ
ต้องวัดใจว่า "ประชาธิปัตย์" จะเลือก "ปล่อยผ่าน" หรือ "ทำหมัน" ทั้งหมดจะเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี ถึงดีกรีความสัมพันธ์ระหว่างกัน
เพราะอุปสรรคใดหากจะเกิดขึ้นกับคำขอ ย่อมส่งผลต่อทิศทางการเมืองของ "กลุ่มเพื่อนเนวิน"
ปรากฏการณ์การตั้งพรรคพันธมิตร และความเคลื่อนไหวของแกนนำพันธมิตร ที่ประหนึ่งจะกดดันมาที่ "สุเทพ" ด้วยข้อหาเอาอกเอาใจ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" มากเกินไป คล้ายเป็นหมากสองชั้น เอาไว้ขู่ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" อีกต่อ หากคิดจะเปลี่ยนใจในอนาคต
เวลางวดเข้ามาทุกขณะ ภาวะนี้เป็นภาวะที่ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" ต้องออกแรงหนัก เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง เพราะตอนนี้ "นายใหญ่" เล่นโฟนอินถึงรากหญ้าตามที่ต่างๆ แบบไม่เลือก ทั้งงานวัด งานบุญ กฐิน ผ้าป่า ฯลฯ
"นายใหญ่" สู้หนัก ลงทุนให้สายเลือดชินวัตร เกลี้ยกล่อมกลุ่มเพื่อนเนวินสารพัด ซ้ำด้วยการต่อสายตรงพูดคุยหว่านล้อมอย่าให้ทิ้งกัน ผนวกด้วยการให้ชาวบ้านในพื้นที่กดดันเสริมอีกแรง
การก้าวเดินของ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" ในตอนนี้ จึงเป็นกึ่งเดินกึ่งวิ่งแข่งกับเวลา และพลังการแก้แค้น
เพราะถ้าเดินไม่สำเร็จ ถึงเวลาเลือกตั้งใหม่ คงมีหวังต้องกลืนเลือดกันอีกรอบ
พรรคประชาธิปัตย์ นกรู้การเมือง รู้ถึงความยากลำบากนี้ดี และฉลาดพอที่จะหยิบเอามาเป็นเครื่องมือชั้นดี ในการสะกดมนต์เขมร ให้สิ้นฤทธิ์อยู่ในหม้อ
จัดการตามสไตล์พรรคสะตอ ตีไพ่ในมือที่เหนือกว่าออกมาข่ม
ท่ามกลางความระแวง ที่มองชั้นแรกของการย้ายข้าราชการยกกระบิ อาจส่งผลดีในทางได้เปรียบ "พรรคเพื่อไทย" แต่ขณะเดียวกัน "กลุ่มเพื่อนเนวิน" ย่อมได้เปรียบเหนือ "ประชาธิปัตย์" เช่นกัน
แต่ใครเล่นของ ก็ต้องพึงระวัง หากไม่ขมังเวทย์พอ หม้ออาจแตก จะยุ่งกว่าเก่า
"เมื่อยามรัก น้ำต้มผักยังว่าหงาน ยามชัง น้ำตาลก็ว่าขม"
ข้อขัดแย้งใดๆ ในโลกนี้เกี่ยวกับทางการเมือง ล้วนอุบัติมาจากคำคำเดียว คือ "ไม่ไว้ใจ" นั่นเอง...