เอพีรายงานวันที่ 12 มี.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวกับสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในฮ่องกง ผ่านทางวิดีโอลิงก์ จากนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
แม้ตอนนี้ตนจะมีเงินเหลือน้อย มีเพียงไว้ใช้ในการเดินทางและใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่ก็เห็นว่าการถูกยึดทรัพย์อาจช่วยปกป้องทรัพย์สินของตนจากวิกฤตการเงินโลก ไม่เช่นนั้นตนอาจนำไปลงทุนแล้วเจ๊งก็เป็นได้ "ผมก็ไม่รู้จะประณามหรือขอบคุณคณะทหารผู้ก่อรัฐประหาร ที่ยึดทรัพย์ของผม เพราะถ้าไม่ยึดทรัพย์ ผมอาจจะลงทุนและเสียเงินจำนวนมากในตลาดหลักทรัพย์ก็ได้"
อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า มีผู้นำหลายประเทศเป็นห่วงเรื่องพาสปอร์ตของตน และเสนอจะออกพาสปอร์ตให้ ซึ่งตนขอบคุณและซาบซึ้งใจ แต่ตอบปฏิเสธไปว่า ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะตนยังเป็นประชาชนคนไทยอยู่
สำหรับการปาฐกถาเรื่อง "วิกฤตเศรษฐกิจโลก : ทำไมจึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่วิกฤตการเงิน แต่เป็นวิกฤตทางปัญญา" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวใจความส่วนหนึ่งว่า "เราจำเป็นต้องเรียนรู้ความสำเร็จ ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ใช้นโยบายยืดหยุ่นและละเอียดอ่อน ในการปกครองประชาชนและการบริหารประเทศ จนประสบความสำเร็จอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้จีนกลายเป็นโรงงานของโลก ผลิตสินค้า ทำรายได้ และที่สำคัญมีเงินออมมากมายเพียงพอ ที่จะอุดหนุนการใช้จ่ายการบริโภคของประชาชนในประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้
จากวิกฤตครั้งนี้ ถึงเวลาแล้วที่จีนจะต้องใช้เงินออมที่มีอยู่ เป็นแหล่งทุน สำหรับการสร้างโอกาส สร้างความมั่งคั่ง ให้กับประชาชนของตน
ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคม ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ทั่วทั้งประเทศทัดเทียมและดียิ่งขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะการทำเช่นนี้นอกจากจะช่วยลดแรงกดดันทางสังคมและการเมืองที่มีต่อพรรคคอมมิวนิสต์แล้ว ยังช่วยลดแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกาได้อีกด้วย
เราต่างรู้ดีว่าปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้...ร้ายแรงกว่าที่หลายคนคิดไว้มาก จนในที่สุดรัฐบาลอาจหนีไม่พ้น จำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่กำลังล่มสลาย
แต่รัฐบาลของเราต้องให้ความช่วยเหลืออย่างมีความซื่อสัตย์ทางปัญญา กล้าปฏิเสธความไม่ถูกต้อง หากจำเป็นต้องเข้าไปรับผิดชอบความเสียหายของธุรกิจใด ๆ ก็ตาม ต้องทำอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม รัฐบาลต้องกล้าที่จะประกาศว่า เงินภาษีของประชาชนที่รัฐบาลจะนำไปให้ความช่วยเหลือนั้นจะต้องไม่ถูกนำไปจ่ายเป็นค่าโบนัสให้กับบรรดาผู้บริหารทั้งหลายที่สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจนั้น
ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกจะไม่มีทางแก้ไขได้ ถ้านักเศรษฐศาสตร์ยังคิดว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินไปข้างหน้า ต้องพึ่งพาพลังเศรษฐกิจขนาดใหญ่เท่านั้น ถึงวันนี้เราต้องยอมรับความจริงว่า ความสามารถในการชำระหนี้ต่างหากคือกุญแจสำคัญไม่ใช่เรื่องของขนาดเท่านั้น “ ขนาด ” จะมีบทบาทช่วยได้ ตราบเท่าที่ “ ขนาด ” และความสามารถในการชำระหนี้เดินหน้าไปพร้อมๆ กัน"