เกือบ 3 เดือนแล้วที่พรรคประชาธิปัตย์ เข้ามาบริหารประเทศ
ด้วยสาเหตุจากการชุมนุมของพันธมิตร และการยุบพรรคพลังประชาชน ชาติไทย และมัชฌิมาธิปไตย
ทำให้มีอำนาจพิเศษฉวยโอกาสเข้ามาช่วยจัดตั้งรัฐบาลจนเป็นผลสำเร็จ
ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังไม่ได้แสดงความโดดเด่น หรือโชว์ศักยภาพความเป็นผู้นำออกมาได้เต็มที่
อำนาจของนายกฯ ถูกลอดทอนด้วยรังสีอำมหิตของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กองทัพ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน รวมถึงหัวโจกพันธมิตรบางคน
แม้จะมีรายการยกหางกันเองด้วยโทรโข่งระดับขนเพชรว่านายอภิสิทธิ์โกอินเตอร์ เทียบชั้นได้กับผู้นำของโลกชาติอื่นๆแล้ว
แต่ของจริงเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ชาวบ้านตัดสินได้เอง
การประชุมอาเซียนซัมมิตที่ผ่านพ้นไป ชาวบ้านมีความรู้สึกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องและไม่ได้อะไรด้วยเลย
งบกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 1 แสนล้านที่นำมาหว่าน เป็นน้ำที่สาดเข้าไปไม่ตรงกับจุดที่ไฟลุกไหม้
เสียทั้งน้ำ แถมไฟก็ไม่ดับอีกต่างหาก
แม้จะได้เป็นรัฐบาล แต่ก็ยังติดนิสัยฝ่ายค้าน นั่นคือแทนที่จะตั้งใจทำงานพิสูจน์ฝีมือ กลับมาเสียเวลาตอบโต้คู่แข่งทางการเมืองรายวัน
โดยเฉพาะกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั้นจะเอาเป็นเอาตายให้ได้
นายกฯถึงขนาดสั่งการด้วยตัวเองว่ากระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องลากตัวมาดำเนินคดีให้ได้
ทำไมกรณีกำนันเป๊าะ หรือนายวัฒนา อัศวเหม จึงไม่แสดงความขึงขังอย่างนี้
แต่กับการดำเนินคดีกับแกนนำพันธมิตร พอเจอนักเลงโตส่งเสียงขู่เข้าหน่อยก็หงอ
สำหรับสถานการณ์ต่อจากนี้ หลังนายกฯสั่งให้รัฐมนตรีลงพื้นที่ บรรยากาศทางการเมืองก็คงจะกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
คงจะได้รับการต้อนรับจากกลุ่มเสื้อแดงแน่ๆ
เรื่องร้อนๆที่เคยเกิดขึ้นหน้าทำเนียบรัฐบาล ก็จะเข้มข้นกระจายไปตามจังหวัดต่างๆ
โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน
บางทียุทธวิธีที่อ้างว่าจะสร้างความเข้าใจกับประชาชน อาจเป็นการลงไปท้าทายก็ได้
ถือเป็นงานหนักของฝ่ายปกครองที่จะต้องป้องกัน ไม่ให้มีม็อบไล่รัฐมนตรี ถ้าห้ามไม่ได้ เอาไม่อยู่ ก็คงมีรายการย้าย สั่งเด้งล้างบางตามมา
เรื่องอย่างนี้ถ้าประสบผลสำเร็จ ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงก็น่ายินดี
แต่ถ้าลงไปแล้ว กลับกลายเป็นการไปเรียกม็อบให้ตามมาแล้ว
รัฐบาลเห็นท่าจะอยู่ลำบาก