หลังเสร็จสิ้นการประชุมอาเซียนซัมมิต
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ มีความมั่นใจต่อสถานการณ์การเมืองมากขึ้น ว่าจากนี้ไปไม่น่ามีอะไรรุนแรงหรือน่าเป็นห่วง
รัฐบาลเองก็เชื่อมั่นว่าจะอยู่บริหารประเทศต่อไปจนครบเทอม ไม่ใช่แค่ 3 เดือน 6 เดือน เหมือนที่หลายคนเคยวิเคราะห์วิจารณ์ไว้
เหตุที่รัฐบาลเชื่อเช่นนั้นอาจเป็นเพราะก่อนการประชุมอาเซียนซัมมิตจะเริ่ม หลายคนกังวลว่าจะเกิดเหตุความวุ่นวายจนเป็นอุปสรรคต่อการประชุมหรือไม่ โดยเฉพาะการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดง
ถึงเวลาจริงทุกอย่างกลับผ่านพ้นไปด้วยดี
นายกฯอภิสิทธิ์ ขอบคุณม็อบเสื้อแดงที่ชุมนุมกันโดยไม่มีเหตุรุนแรง และสลายตัวไปก่อนการประชุมอาเซียนซัมมิตจะเริ่ม ช่วยให้ภาพลักษณ์ของไทยในสายตาชาวโลกดีขึ้น
กระนั้นก็ตามม็อบเสื้อแดงไม่ได้ถอยทัพไปแบบถาวร
เพียงแต่ถอยกลับไปตั้งหลัก นัดหมายกลับมารวมตัวกันใหม่ในอีก 1 เดือนข้างหน้าซึ่งจะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองอีกครั้ง เพราะตรงช่วงที่ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลพอดี
เป็นไปได้ว่าม็อบเสื้อแดงจะนำเอาหัวข้อการอภิปรายของพรรคเพื่อไทยมาขยายผลต่อนอกสภา
นายกฯอภิสิทธิ์คงรู้สถานการณ์ดี ว่าอุณหภูมิการเมืองที่ลดลงตอนนี้เป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากเงื่อนไขความขัดแย้งต่างๆ ยังไม่ได้รับการคลี่คลายให้หมดไป
ในจำนวนเงื่อนไข 4 ข้อของม็อบเสื้อแดง คือ 1.ปลดนาย กษิต 2.ดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตร 3.นำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 กลับมาใช้ 4.ยุบสภา
นายกฯอภิสิทธิ์รับปากทำได้เพียงข้อเดียว
คือเรื่องคดีความที่เกี่ยวข้องกับความไม่สงบและความขัดแย้งทางการเมือง รวมถึงคดีปิดสนามบิน ที่ว่าจะเดินหน้าอย่างต่อเนื่องและตรงไปตรงมา ทั้งยังย้ำว่าก่อนการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงอีกครั้งใน 1 เดือนข้างหน้า
จะได้เห็นความชัดเจนของคดีความเหล่านี้
มีบางคนบอกว่าถึงตอนนั้นอาจจะสายเกินไป เนื่องจากแกนนำเสื้อแดงประกาศยกระดับข้อเรียกร้องเดิม 4 ข้อ ขึ้นเป็นการขับไล่รัฐบาลเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งเป็นข้อวิจารณ์ที่ไม่น่าจะถูกต้องนัก
เพราะที่จริงแล้วการดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรฯ จะช้าหรือเร็ว ไม่ควรเป็นไปตามแรงกดดันของม็อบเสื้อแดง
แต่ควรเป็นไปเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า รัฐบาลชุดนี้ได้บริหารประเทศโดยยึดหลักการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างแท้จริง
ไม่ได้เลือกปฏิบัติต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างที่สังคมกำลังครหากันอยู่ตอนนี้