จากกรณีที่มีแรงกดดันของฝ่ายต่างๆ ให้รัฐบาลดำเนินการนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย
ล่าสุด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กงสุลใหญ่ของไทยประจำฮ่องกงเร่งดำเนินการให้ทันภายในวันที่ 2 มี.ค.2552 ซึ่งเป็นช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีกำหนดการไปกล่าวปาฐกถาที่เกาะฮ่องกง
นายกฯสั่งรวบตัว “ทักษิณ” ที่ฮ่องกง
เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2552 เวลา 10.30 น. ที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการดำเนินการขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากทางการจีนกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย หลังมีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะไปกล่าวปาฐกถา ที่เขตปกครองพิเศษฮ่องกง ในวันที่ 2 มี.ค.นี้ว่า กำลังให้กงสุลใหญ่ประจำเขตปกครองพิเศษฮ่องกงติดตามและรายงานกลับมาที่กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อประสานกับอัยการดำเนินการ ต้องพยายามให้ทันกับกำหนดการในวันดังกล่าว เพราะขณะนี้ไม่มีปัญหาในข้อกฎหมายใดๆ และไม่มีป’ญหากรณีที่ฮ่องกงเป็นเขตปกครองพิเศษ ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดว่าจะดำเนินการทันหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ต้องพยายามให้ทัน แต่ขึ้นอยู่กับการยืนยันข้อเท็จจริง และขึ้นอยู่กับการประสานงานของเขาด้วย เราจะทำให้ดีที่สุด เพราะเป็นการปฏิบัติตามปกติที่เราจำเป็นต้องดำเนินการ เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมของไทย
อภิสิทธิ์สั่งเข้ม กงสุลล่าทักษิณ ฮ่องกงปัดทันที
ฟันธง 1 เดือนคดีเห็นผลเป็นรูปธรรม
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศจะกลับมาชุมนุมอีกครั้งใน 1 เดือนข้างหน้าว่า ในช่วง 1 เดือนข้างหน้า ผู้ชุมนุมจะได้เห็นความก้าวหน้าอีกหลายเรื่อง ที่จะเป็นตัวพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับกระบวนการยุติธรรม และการเดินหน้าระบอบประชาธิปไตยของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องคดีความต่างๆ จะมีความคืบหน้าชัดเจน รวมถึงกระบวนการปฏิรูปการเมืองที่ถือเป็นนโยบายของรัฐบาล จึงเชื่อว่าผู้ที่มาชุมนุมจะทราบว่า รัฐบาลไม่ได้เพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องในส่วนที่คิดว่าสามารถปฏิบัติได้ จะเป็นการพิสูจน์ว่ารัฐบาลนี้มาโดยกระบวนการของรัฐสภา ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประชาธิปไตย และต้องการดึงทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม ส่วนข้อเรียกร้องให้ตนหรือ รมว.ต่างประเทศลาออกนั้น ในเดือนหน้าก็จะมีกระบวนการตรวจสอบของสภา ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจอยู่แล้ว แต่ไม่กล้าคาดคะเนว่าจะเปลี่ยนใจผู้ชุมนุมได้หรือไม่ แต่คิดว่าสังคมต้องอยู่ด้วยเหตุด้วยผลด้วยข้อเท็จจริง
เดินสายเยี่ยมชาวบ้านทุกจังหวัด
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ผู้ชุมนุมอาจได้รับข้อมูลส่วนหนึ่ง แต่หากเปิดใจให้กว้าง ดูสิ่งที่พวกเราทำ ก็หวังว่าจะเข้าใจดีขึ้น แต่คงไม่ทั้งหมด ต้องมีคนที่ยังไงก็ไม่เห็นด้วยหรือต่อต้าน เป็นเรื่องธรรมดา อาจมีผู้ชุมนุมกลับมา เพราะแกนนำบางส่วนเชื่อว่าต้องทำเช่นนั้น ส่วนที่แกนนำคนเสื้อแดงขู่จะยกระดับการชุมนุมไปถึงขั้นขับไล่รัฐบาลนั้น เป็นข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมอยู่แล้วที่ต้องการจะให้ตนพ้นจากตำแหน่ง และที่ประกาศว่าจะเดินทางไปกดดันทุกพื้นที่ที่ไปทำงานนั้น ถือว่าเป็นสิทธิ์ ตราบใดที่อยู่บนพื้นฐานความสงบเรียบร้อยก็ไม่มีปัญหา แต่หากไปขัดขวางการทำหน้าที่ คงทำไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปิดสมัยประชุมรัฐสภา จะเริ่มหาโอกาสลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชนในต่างจังหวัด เพราะตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีภารกิจมาก และติดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งตนจะไปทุกจังหวัดขึ้นอยู่กับงานที่จะไป
รอข้อมูลก่อนพักงาน “ประพันธ์-พิเชฐ”
เมื่อถามว่ามีรายงานว่า ทางตำรวจได้ออกหมายจับแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยมีชื่อนายประพันธ์ คูณมี ที่ปรึกษา รมว.วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี และนายพิเชฐ พัฒนโชติ ที่ปรึกษา รมว. สาธารณสุขด้วย นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ยังไม่ทราบว่ามีหมายจับกลุ่มพันธมิตรฯกี่คน หรือมีหมายเรียกอย่างไร แต่หากมีก็น่าจะเป็นการยืนยันว่าการมาช่วยงาน หรือมี ตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลนี้ ก็ไม่ได้ทำให้คนเหล่านี้อยู่เหนือกฎหมาย และเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ดำเนินการไปตามกระ-บวนการตามหมายเรียกหรือหมายจับ ส่วนจะถึงขั้นต้องให้พักงานหรือไม่ ต้องขอดูรายละเอียดก่อน
อ้าง ส.ส.ล่า “ทักษิณ” เพราะห่วงชาติ
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวว่า ส.ส.พรรคประชาธิป’ตย์ จะเดินทางไปฮ่องกงเพื่อไปตามหาที่อยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เป็นความคิดใคร ยังไม่ได้ถามใครในพรรค และยังไม่มี ส.ส.มาหารือการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศจะมีขั้นตอนของเขา ซึ่งความล่าช้านั้นนายกฯ ได้พูดไปแล้วว่า เป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำหน้าที่ไป แต่ป’ญหาคือไม่มีใครรู้ที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอนของ พ.ต.ท.ทักษิณ การเคลื่อนไหวของ ส.ส. มีขอบเขตของกฎหมาย คนที่เป็น ส.ส.เขามีวิจารณญาณที่จะคิดได้เองว่าจะเกิดผลกระทบอะไรหรือไม่ ทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้แนวทางที่ไม่ไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม หรือเรื่องระหว่างประเทศที่ไม่ใช่อำนาจที่จะไปกระทำ แต่ ส.ส.เป็นห่วงบ้านเมือง อยากให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้ และมีการรักษากฎหมายอย่างเคร่งครัด
โวการเมืองนิ่ง รบ.แห่งชาติไม่มีมูล
เมื่อถามว่าทำไมถึงมาเร่งรัดเอาตอนนี้ เกี่ยวข้องกับกระแสการตั้งรัฐบาลแห่งชาติหรือไม่ นายสาทิตย์ตอบว่า ไม่ได้เร่งรัด ทุกอย่างดำเนินการไปตามขั้นตอน ส่วนเรื่องรัฐบาลแห่งชาติเป็นเรื่องที่พูดกันมาพูดกันไป ทุกฝ่ายก็ปฏิเสธแล้วว่าไม่มีข้อเท็จจริง ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ในฐานะประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ระบุว่าประเด็นเรื่องรัฐบาลแห่งชาติอาจมาจากพรรคประชาธิป’ตย์ ที่ต้องการกุมสภาพภายในพรรคร่วมนั้น เข้าใจได้ ร.ต.อ.เฉลิม ชอบพูดอะไรแบบนี้ คิดว่าการเมืองขณะนี้นิ่งพอสมควร การชุมนุมที่สงบชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลสามารถทำงานต่อไปได้ และเราไม่ควรยกประเด็นการเมืองขึ้นมาทำให้รัฐบาล ต้องพะวักพะวง การแก้ปัญหาปากท้องเป็นเรื่องสำคัญมากกว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องการคือการเมืองนิ่ง สามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศได้ การประชุมผู้นำอาเซียนผ่านไปด้วยความสำเร็จ การแก้ไขป’ญหาให้ประชาชนเดินหน้าไปได้
จี้ ตร.เค้นปาก “เฉลิม” เอาที่อยู่ลูกพี่
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิป’ตย์ กล่าวถึงการติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยว่า คนที่รู้แหล่งกบดานของ พ.ต.ท.ทักษิณดีที่สุดคือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย เป็นแหล่งข้อมูลที่จะโยงถึงการพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ครั้งหลังสุดจนถึงวันที่ 2 มี.ค. ขึ้นอยู่กับว่าว่าที่ผู้นำฝ่ายค้านอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม พร้อมให้ข้อมูลหรือไม่
นายเทพไท เสนพงศ์ กล่าวว่าหากตำรวจอยากได้ ข้อมูล น่าจะไปสอบสวน ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่ออกมาให้ สัมภาษณ์สื่อว่าไปฮ่องกงพบ พ.ต.ท.ทักษิณมา เช่น นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา ที่ยืนยันชัดเจนว่าได้ร่วมโต๊ะอาหารกับ พ.ต.ท.ทักษิณและ ร.ต.อ.เฉลิม ที่ ร.ต.อ.เฉลิมปฏิเสธว่าไม่ได้พบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ คงจะรู้ว่าการปกป”ดที่พักพิงของผู้ต้องหาอาจมีความผิดได้ จึงเห็นว่าตำรวจน่าจะเชิญ ร.ต.อ.เฉลิมมาสอบปากคำด้วย
เด็ก ปชป.แหกคอกเตือนระวังแตกแยก
นายเกียรติกร พากเพียรศิลป์ ส.ส.ปราจีนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนของรัฐบาล เพราะการจับกุม พ.ต.ท.ทักษิณ อาจทำให้เกิดชนวนความขัดแย้งในบ้านเมืองขึ้น เพราะคนที่รักในตัว พ.ต.ท.ทักษิณยังมีจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคอีสานที่อาจไม่เห็นด้วย และอาจลุกฮือขึ้นมาตอบโต้ฝ่ายรัฐบาล ส่งผลให้บ้านเมืองได้รับความเสียหายมากมายไปกว่านี้ สิ่งสำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณก็เป็นคนไทยเช่นกัน ควรจะปฏิบัติในมาตรฐานภายใต้กฎหมายเดียวกันกับบุคคลอื่นด้วย ไม่เห็นว่ารัฐบาลจะต้องเร่งรัดถึงเพียงนี้ สิ่งสำคัญที่ควรทำอันดับแรกคือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชนและคนตกงาน ที่มีการประเมินว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบหนักสุดในเอเชีย หากรัฐบาลยังกังวลกับเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ จะเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาได้ ดังนั้น เรื่องติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ควรเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ไม่ใช้หน้าที่หลักของรัฐบาล
“นพดล” จี้ใช้หลักกฎหมายสากล
ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เร่งรัดให้มีการดำเนินการขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณ จากประเทศจีนกลับมาดำเนินคดีว่า แม้จะเป็นสิทธิของรัฐบาลที่สามารถทำได้ แต่ต้องอยู่ในกรอบของสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ส่วนตัวไม่ทราบขั้นตอนและรายละเอียดของสนธิสัญญาการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนของประเทศจีนว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะฮ่องกงนั้นไม่แน่ใจว่าจะมีสนธิ สัญญาในลักษณะดังกล่าวอยู่หรือไม่ จึงไม่เข้าใจว่าที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จะไปสืบหาที่อยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะไปดำเนินการโดยอาศัยกฎหมายฮ่องกง หรือกฎหมายไทยในแง่ไหน ยืนยันว่าเรื่องนี้รัฐบาลไทยต้องดำเนินการตามกรอบกฎหมายเท่านั้น ไม่ใช่อาศัยวิธีการนอกกรอบ เพียงเพื่อมุ่งหวังทำลายล้าง พ.ต.ท.ทักษิณ
เผยเตรียมโชว์วิชั่น ศก.ภาพรวม
นายนพดลกล่าวต่อว่า ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะไปปาฐกถาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ฮ่องกง ในวันที่ 2 มี.ค.นั้น ยืนยันว่าไม่ใช่การเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างที่มีการตั้งข้อสังเกต กำหนดการดังกล่าวเป็นเรื่องปกติของ พ.ต.ท.ทักษิณที่มักจะมีองค์กร หน่วยงานในต่างประเทศ มาเชิญไปบรรยายให้ความรู้ อย่างไรก็ตาม สำหรับเนื้อหาในการบรรยายนั้น พ.ต.ท.ทักษิณจะแสดงวิสัยทัศน์โดยเน้นแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใต้สภาวะวิกฤติของโลกในขณะนี้ โดยจะใช้เวลาในการพูดประมาณ 2 ชั่วโมง และคงมีการพูดถึงสถานการณ์และความเคลื่อนไหวของภาคส่วนต่างๆในโลก และความร่วมมือในภูมิภาคเอเชีย แต่จะเป็นการพูดโดยมองภาพรวมและมิติโลกมากกว่าจะพูดถึงประเทศไทยเพียงอย่างเดียว
ท้าตามล่าจับตัว “ทักษิณ” ให้ได้
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล กล่าวว่า ขอท้าว่าถ้าแน่จริงให้ดำเนินการจับกุมตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำเนินคดีให้ได้อย่างที่พูด เพราะอำนาจอยู่ในมือนายกฯ สามารถทำอะไรก็ได้ สังคมคงไม่ประณาม แต่อย่าหลงอำนาจ และไม่ควรเลือกปฏิบัติ ควรตามจับอดีตนักการเมืองที่หนีคดีไปต่างประเทศกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยด้วย อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทยแน่ในช่วงกระบวนการยุติธรรมที่ยุติธรรม ไม่ใช่กลับมาในสมัยรัฐบาลซ่อนรูป ส่วนกรณีที่โฆษกส่วนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิป’ตย์ระบุว่าไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้าไม่มีวันที่พรรคประชาธิป’ตย์จับมือพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาตินั้น ความจริงพรรคเพื่อไทยไม่เคยคิดจับมือพรรคประชาธิป’ตย์ เพราะเป็นปลาคนละน้ำเข้ากันไม่ได้ แต่วันนี้บ้านเมืองวิกฤติทางสังคม วิกฤติเศรษฐกิจมันต้องหันหน้าเข้าหากัน พรรคประชาธิปัตย์จะดันทุรังเริงร่ากับอำนาจที่ได้มาไม่ได้ ขนาดพรรคเพื่อไทยยังยอมลดตัวไปจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์
ส่อแววแห้วฮ่องกงปิดไม่มีสนธิสัญญาฯ
วันเดียวกัน เว็บไซต์ของสำนักข่าวเอิร์ธไทม์ส รายงานเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ว่า กำหนดการขึ้นกล่าวปาฐกถาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ภายใต้หัวข้อ “วิกฤติเศรษฐกิจ, การเมืองสั่นคลอน : บทเรียนจากประเทศไทย” ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (เอฟซีซี) ที่ฮ่องกง ในวันที่ 2 มี.ค.นี้ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆตามคำยืนยันจากเอฟซีซี โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมฟ’งกว่า 100 คน ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายราวคนละ 20 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 720 บาท) ทั้งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย ขอความร่วมมือในการส่งตัวอดีตนายกฯทักษิณกลับประเทศเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
ขณะที่หนังสือพิมพ์เซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ รายงานข่าวว่า มีโอกาสน้อยมากที่ตำรวจฮ่องกงจะเข้าจับกุมตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนขึ้นกล่าวปาฐกถา โดยนางมาร์กาเร็ต อึ้ง โหงย-ยี่ ประธานสำนักงานคณะกรรมการยุติธรรมและบริการทางกฎหมายของฮ่องกง กล่าวว่า จะถือเป็นเรื่องพิเศษพอสมควรหากรัฐบาลฮ่องกงเห็นชอบกับคำขอของรัฐบาลไทย ถ้าไม่มีการทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกัน หรือถึงทำ แต่คดีที่จะให้มีการส่งตัวกลับนั้น ต้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องร่วมกัน และได้รับการยอมรับในเขตอำนาจของศาลฮ่องกง “คุณไม่สามารถส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน เพียงเพราะเหตุผลทางการเมือง” รายงานข่าวกล่าวอ้างคำพูดของนางมาร์กาเร็ต
จวก “เฉลิม” นิสัยเดิมปล่อยข่าวมั่ว
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกส่วนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.สัดส่วน ในฐานะประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ออกมาป’ดว่าอาจเป็นพรรคประชาธิป’ตย์ที่เป็นฝ่ายให้ข่าวเรื่องรัฐบาลแห่งชาตินั้น อยากให้ย้อนกลับไปดูข่าวเก่า เพราะล้วนแต่เป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทยทั้งนั้นที่ออกมาพูดเรื่องนี้ หรือ ร.ต.อ.เฉลิมยังติดกับการเมืองเก่า ที่พูดหน้าแล้วลืมหลัง และที่ ร.ต.อ.เฉลิมตั้งข้อสงสัยว่านายกฯรู้ประเด็นการอภิปราย อาจมาจากการดักฟังทางโทรศัพท์นั้น สื่อหลายฉบับรายงานตรงกันว่า ข่าวดังกล่าวออกมาจากที่ประชุมเตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งมี ร.ต.อ.เฉลิม เป็นหัวหน้าทีม ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในสังคม ขอแนะนำให้แต่งตั้งคนที่มีอำนาจให้ข่าว จะได้ไปในแนวทางเดียวกัน ไม่สะเปะสะปะ ทั้งนี้มองได้ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทั้งการกุข่าวรัฐบาลแห่งชาติ การได้เป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์ประเทศนิการากัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นการประโคมข่าวเพื่อชิงพื้นที่ข่าวจากนายอภิสิทธิ์ที่กำลังโดดเด่นในการจัดประชุมอาเซียนซัมมิท อยู่ขณะนี้