กรณ์ คาดใน 1 เดือนสรุปกรอบกู้เงินต่างประเทศ 70,000 ล้านบาทได้

ก.คลัง  27 ก.พ. -  นายกรณ์  จาติกวณิช  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  กล่าวภายหลังร่วมประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงการคลัง 

  ในที่ประชุมได้มีการหารือถึงภาพรวมภาวะเศรษฐกิจและการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล  ซึ่งยังไม่มีการปรับเป้าหมายใหม่แต่อย่างใด  โดยยังคงคาดว่าจะต่ำกว่าประมาณการเดิม 100,000 ล้านบาท  จากที่คาดไว้ว่าจะมีรายได้ 1.585  ล้านล้านบาท เนื่องจากแม้รายได้ในรอบ 4 เดือน จะลดลงค่อนข้างมาก  แต่หากไปดูรายละเอียดของแต่ละกรมแล้วพบว่าปัญหาหลักเกิดจากภาษีน้ำมัน  โดยเฉพาะกรณีการลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรัฐบาลที่แล้ว  แต่ขณะนี้ได้มีการจัดเก็บเพิ่มมาตั้งแต่วันที่  1 ก.พ.ที่ผ่านมา  ทำให้ภาษีสรรพสามิตหลังจากนี้คงจะมีการจัดเก็บที่ดีขึ้น


ขณะที่ในช่วง  4  เดือนแรก ปีงบประมาณ 2552 ภาษีมูลค่าเพิ่มที่แม้ลดลงกว่าเป้าหมายถึงร้อยละ  17  และลดลงร้อยละ 2-3  เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ  2551 

โดยพบว่าภาษีที่ลดลงนั้นเป็นในส่วนของสินค้านำเข้าที่ลดลง โดยมาจากน้ำมันมากที่สุด  เนื่องจากราคาน้ำมันปรับลดลงสูงมาก  อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มนับจากนี้เป็นเรื่องท้าทายมากและคงต้องมีการพิจารณาให้ถี่ถ้วน  ส่วนภาษีศุลกากร  แม้จะลดลงบ้างแต่ก็ไม่มาก  นอกจากนี้  ยังสั่งการให้ปลัดกระทรวงการคลังพิจารณาดูว่าในส่วนของทรัพย์สินภาครัฐ  ไม่ว่าที่ดิน หุ้นต่าง ๆ  จะทำอย่างไรให้ภาครัฐได้ประโยชน์สูงสุด


นายกรณ์ กล่าวด้วยว่า  จากที่เงินบาทอ่อนค่าแตะระดับ 36  บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ  เป็นการอ่อนค่าในรอบ  2 ปี จะเป็นผลดีต่อการส่งออกของประเทศไทยที่จะสามารถแข่งขันได้มากขึ้น 

แต่ที่ห่วง คือ มูลค่านำเข้าลดลงมากกว่าการลดลงของมูลค่าส่งออก  อย่างไรก็ตาม  หากเศรษฐกิจโลกเริ่มนิ่งจากแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจทั่วโลก คาดว่าในช่วงไตรมาส  3 และ 4  คงจะมีการนำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้นและคงจะส่งผลทำให้การส่งออกเริ่มดีขึ้นด้วย
ส่วนภาษีรถยนต์จะมีการปรับลดเพื่อช่วยรายอุตสาหกรรมหรือไม่นั้น  นายกรณ์ กล่าวว่า  ขณะนี้ได้มีการพูดคุยกับนายชาญชัย  ชัยรุ่งเรือง  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม  ซึ่งทางภาครัฐพร้อมจะเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาทุกอุตสาหกรรม  แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสมและความยั่งยืน  แต่จะเป็นอุตสาหกรรมใดบ้างยังไม่ขอเปิดเผย  โดยในส่วนนี้จะอยู่ในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 2 และ 3  ที่กำลังจะทยอยออกมา


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  กล่าวด้วยว่า ภายใน  1 เดือนนี้กรอบการใช้เงินที่จะเกิดจากการกู้เงินต่างประเทศ 70,000  ล้านบาท 

ที่จะกู้จากธนาคารโลก ธนาคารเพื่อพัฒนาเอเชีย (เอดีบี)  และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ไจก้า)  ก็คงจะดำเนินการเสร็จสิ้น  โดยให้หน่วยงานที่จะใช้เงินส่วนนี้ดูให้ชัดเจนว่าจะต้องเป็นการลงทุนที่เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ และจะต้องมีส่วนของการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับเงินสกุลที่กู้มา  โดยส่วนตัวยอมรับว่าเป็นห่วงภาวะเศรษฐกิจที่ลดลงต่ำกว่าคาดการณ์เดิม โดยเป็นห่วงเรื่องการเลิกจ้างงานมากที่สุด เพราะจะกระทบต่อประชาชน  สังคม  และโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาวในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเตรียมไว้ทั้งการขาดดุลงบประมาณปี 2553 จำนวน 390,000 ล้านบาท  และการใช้งบกลางปี 2552 กระตุ้นเศรษฐกิจ 117,000  ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าในส่วนนี้จะช่วยบรรเทาปัญหาผลกระทบได้ระดับหนึ่ง โดยในส่วนงบกลางปีนั้น จากการประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีเมื่อวานนี้  ( 26 ก.พ.) ได้เน้นดูแลการรักษาระดับการจ้างงานให้มากที่สุด โดยจะใช้งบประมาณเข้าไปช่วยเน้นในเรื่องการจ้างงานโดยตรงกับภาครัฐ  การฝึกอบรม  และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนผู้ประกอบการ 


“สิ่งที่ห่วงที่สุดไม่ใช่ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)  อัตราดอกเบี้ย  แต่เป็นห่วงมากที่สุดคือ การจ้างงานที่จะกระทบต่อสังคม ซึ่งขณะนี้ได้ระดมแผนทุกอย่างเพื่อที่จะรองรับปัญหาการว่างงาน”  นายกรณ์ กล่าว.  - สำนักข่าวไทย


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์