วันนี้ ( 27 ก.พ.) นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้มายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบกรณี นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
อนุมัติแต่งตั้งให้ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตกรรมการบริหารพรรคชาติไทย ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง และอดีตรมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหรือบอร์ด ททท. โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากเห็นว่าอาจเข้าข่ายขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และเข้าข่ายผิดมาตรา มาตรา 94 , 95 และ 96 ของพ.ร.บ.พรรคการเมือง โดยได้นำสำเนาข่าวในเว็บไซด์เมื่อวันที่ 7 ม.ค.2552 และ พ.ร.บ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522มาหลักฐานประกอบการยื่น
พท.ร้องกกต.สอบ วีระศักดิ์ นั่งบอร์ดททท.มิชอบ
ทั้งนี้ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า การยื่นหนังสือครั้งนี้ ต้องการให้กกต.ตรวจสอบและวินิจฉัยการแต่งตั้งนายวีระศักดิ์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
เนื่องจากตามมาตรา 18 พ.ร.บ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 ระบุว่า ตำแหน่งดังกล่าวรัฐมนตรีจะเป็นผู้แต่งตั้ง ทำให้มีการมองว่า ถ้ามีรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้ง อาจเป็นตำแหน่งทางการเมือง และถ้าผลการวินิจฉัยของกกต.ออกมาว่า การแต่งตั้งดังกล่าวไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ต่อไปเราก็จะเชิญผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองทั้ง 111 และ 109 คน เข้ามาดำรงตำแหน่งในบอร์ดบริหารรัฐวิสาหกิจบ้าง เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน แต่หากกกต.ไม่สามารถวินิจฉัยและให้คำตอบได้ ก็ให้ส่งเรื่องนี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เนื่องจากเป็นผู้พิพากษาตัดสิทธิทางการเมือง
นอกจากนี้ นายสุรพงษ์ ยังกล่าวถึงการที่กกต.วินิจฉัยยกคำร้องกรณีนายเนวิน ชิดชอบ เข้ามาสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล ว่า ผู้ที่ทำหน้าที่ตัดสิทธิทางการเมืองคือศาลรัฐธรรมนูญ แต่กกต.กลับมีมติ 3 ต่อ 2 ให้ยกคำร้องเรื่องนี้
ซึ่งในอนาคตถ้าคำวินิจฉัยของกกต.ไปขัดแย้งกับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ก็อาจจะส่งผลถึงกกต.ด้วย จึงคิดว่ากกต.น่าจะส่งเรื่องดังกล่าวไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีกครั้ง หลังจากนี้ตนจะยื่นเรื่องนี้ให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน รัฐสภาตรวจสอบ เพราะต้องการให้เรื่องดังกล่าวถึงศาลรัฐธรรมนูญ และหากผลวินิจฉัยออกมาว่าผิด กกต.อาจถูกดำเนินคดีฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้นับแต่กกต.มีมติเรื่องดังกล่าวก็ยังไม่มีหนังสือแจ้งมาให้ตนทราบแต่อย่างใด
นายสุรพงษ์ ยังกล่าวถึงการเข้าให้ปากคำต่อคณะอนุกรรมการสืบสวนของกกต.กรณีการฮั้วเลือกตั้งซ่อมเมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ตนเองได้ร้องเรียนว่า ได้ให้ปากคำเพิ่มเติมและยืนยันตามหลักฐานที่ยื่นไว้ ว่าการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมามีการฮั้วกันจริง ซึ่งทางคณะอนุกรรมการได้แจ้งว่า การฮั้วเลือกตั้งมีผู้ร้องเข้ามาหลายคน ซึ่งกกต.ได้มีมติให้รวมเรื่องร้องในลักษณะดังกล่าวเข้าด้วยกัน ทางคณะอนุกรรมการจึงต้องมาพิจารณารวมกัน จึงไม่ทราบว่า กรณีดังกล่าวจะใช้เวลาในการพิจารณาเท่าไร