วันนี้ (16 ก.พ.) นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
การโทรศัพท์เข้า-ออกไปต่างประเทศถือเป็นสิทธิที่แต่ละคนสามารถทำได้ และไม่มีอะไรน่ากลัว แต่สิ่งที่ไม่ควรประมาทคือ เงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะตนเชื่อว่าเงินยังมีความหมายและมีอิทธิพลอยู่ ดังนั้น ทุกคนต้องช่วยกันประคับประคององค์กรที่เป็นหลักของบ้านเมืองให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อตรง เพราะหากเงินสามารถซื้อคนในองค์กรเหล่านี้ได้ ก็จะทำให้การรักษาบ้านเมืองให้ อยู่ภายใต้กรอบที่ถูกต้องหมดไป ซึ่งขณะนี้องค์กรหลัก โดยเฉพาะศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นความหวังของบ้านเมืองที่จะรักษา ความชอบธรรมเอาไว้ นายชวน ยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลกำลังหาบุคคลที่เป็นกลางเข้ามาปฏิรูปการเมืองว่า นอกจากต้องมีความเป็นกลางแล้วต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้และเข้าใจบทบาทของ ฝ่ายการเมืองด้วย เพราะความไม่เข้าใจบางครั้งทำให้มองว่ามองนักการเมืองเป็นผู้ร้ายไปหมด ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
ขณะที่นายเทพไท เสนพงษ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการโฟนอินของอดีตนายกรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า เป็นการส่งสัญญาณให้พรรคเพื่อไทยเร่งยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณให้กลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวเข้มข้นมากขึ้น เห็นได้จากการที่แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ประกาศจะชุมนุมยืดเยื้อในวันที่ 24 ก.พ. ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อกดดันรัฐบาลพร้อมมุ่งทำลายความน่าเชื่อถือ รวมถึงต้องการให้ประเทศสมาชิกอาเซียนไม่มั่นใจการเมืองในประเทศของไทย ซึ่งจะส่งผลต่อการประชุมอาเซียนซัมมิท
นายเทพไท ยังเรียกร้องให้แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) คำนึงถึงว่าระยะเวลาดังกล่าว ควรงดการเคลื่อนไหว
เพื่อให้รัฐบาลจัดการประชุมอาเซียนซัมมิทได้ รวมถึงเพื่อรักษาหน้าตาของประเทศ อย่างไรก็ตาม อยากให้สังคมจับตามองพฤติกรรมของกลุ่มคนเหล่านี้ว่าการ เคลื่อนไหวสนองความต้องการของคนคนเดียว โดยทำลายความน่าเชื่อถือและผลประโยชน์ของประเทศหรือไม่
นอกจากนี้ โฒกสวนตัวขงนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยเตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ
ก่อนเสนอเรื่องใดควรมีการหารือภายในพรรคเพื่อเสนอเป็นมติพรรค พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับเรื่องเงินบริจาค 250 ล้านบาทให้กับพรรคประชาธิปัตย์ เป็นคดีพิเศษ ว่ากรณีนี้มีผู้ร้องเรียนหรือไม่