รัฐบาลยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กลายเป็นว่าใช้ "โฆษก" เปลืองที่สุด
นอกจากตำแหน่งสแตนดาร์ดอย่าง ทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีหรือโฆษกรัฐบาล ภายใต้การคุมทีมของ นายปณิธาน วัฒนายากร
และทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ที่มี น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ เป็นหัวหน้าแล้ว
ยังตั้งโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายเทพไท เสนพงศ์ ขึ้นมาอีก
เพื่ออุดรอยรั่วงานรูทีนของ 2 ทีมแรก
ทั้งปัญหาความเป็นนักวิชาการของนายปณิธานที่แถลงได้จืดสนิท อัดเนื้อหาสาระมากเกินจนขาดประเด็นและวาทศิลป์ทางการเมือง
รวมถึงปัญหาของน.พ.บุรณัชย์ที่ไร้ลูกบู๊ ขาดการประสานภายในทีมโฆษกด้วยกัน จนทำให้การทำงานไม่เป็นเอกภาพ
เป็นเหตุให้ฝ่ายค้านออกมาเปิดเกมรุกใส่รัฐบาลอย่างหนักหน่วง
ทันทีที่จัดเก้าอี้เสริมให้นายเทพไทเปิดเกมโต้กลับพรรคเพื่อไทย ปรากฏว่าโฆษกประจำตัวหัวหน้าอภิสิทธิ์เล่นแถลงทุกเม็ด ไม่เหลือประเด็นรายวันไว้ให้โฆษกพรรค หรือโฆษกรัฐบาลได้ทำหน้าที่
อีกทั้งกรณีปูดข่าวมะกันถอนวีซ่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แทนที่จะช่วยเพิ่มสกอร์ให้รัฐบาล
กลายเป็นบูมเมอแรงย้อนกลับมาซัดตัวเองและพลพรรคประชาธิปัตย์
หลังได้รับการปฏิเสธจากนายเอริค จี.จอห์น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย
เลยโดนวิจารณ์เละว่าสร้างข่าวโคมลอย ไร้ซึ่งข้อเท็จจริง เสียแต้มกันเห็นๆ
ขณะเดียวกันปัญหาการทับซ้อนของ 3 ตำแหน่งที่ลักลั่นกันอยู่ นอกจากเป็นปัญหาระหว่างทีมแล้ว
ยังเกิดความแตกแยกกันเองภายใน และลุกลามเป็นความขัดแย้งภายในพรรค
บรรดาทีมโฆษกมองปัญหานี้อย่างไร?
รัฐบาลประชาธิปัตย์ยุคโฆษกเฟ้อ
เทพไท เสนพงศ์
โฆษกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ผู้ทำหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกพรรคเหมาะสมอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ครอบคลุมไปถึงประเด็นทางการเมือง
นายปณิธานนั่งในตำแหน่งรองเลขาธิการนายกฯ และรักษาการโฆษกประจำสำนักนายกฯ ความเป็นนักวิชาการอาจไม่คุ้นเคยภาษาทางการเมือง หรือประเด็นที่ต้องตอบโต้
น.พ.บุรณัชย์เป็นหมอ บุคลิกอาจนิ่มนวลสุภาพมากไป ทำให้เกิดช่องว่างทางการเมือง
หัวหน้าพรรคและหลายเสียงในที่ประชุมพรรคเห็นว่าน่าจะเติมเต็มส่วนนี้ จึงตั้งผมขึ้นมา
ก่อนหน้านี้พวกผม 3 คนก็คุยกัน นายปณิธานบอกให้ผมมาชี้แจงเรื่องการเมืองบ้าง ก็บอกไปว่าวันนี้ต้องใช้สถานะในการพูด
เมื่อพรรคเป็นรัฐบาลแล้วต้องให้โฆษกรัฐบาลพูด เรื่องของพรรค โฆษกพรรคต้องพูด
เขาเลยสร้างสถานะใหม่ให้ผมเป็นโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค มีสถานะคาบเกี่ยวไปถึงบทบาทการเป็นนายกฯด้วย
โฆษกพรรคไม่ถึงกับอ่อน เพียงแต่ทำหน้าที่ไม่ครอบคลุมประเด็นทางการเมืองที่แหลมคม
ขณะที่ฝ่ายค้านมีตัวละครเคลื่อนไหวทางการเมืองค่อนข้างมาก หลากหลาย ทั้งโฆษกพรรคและโฆษกรัฐบาลรับมือไม่ไหว จำเป็นต้องเสริมคนชี้แจงประเด็นที่ถูกกล่าวหา
ความขัดแย้งของโฆษกเป็นภาพที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์ แต่เรา 3 คนไม่ได้ขัดแย้งกัน กับโฆษกพรรคก็ได้พูดคุยโทรศัพท์ ฝากประเด็นกันตั้งแต่ก่อนเป็นรัฐบาล
ส่วนนายปณิธานเพิ่งสนิทกันตอนเป็นโฆษกรัฐบาล แต่ก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันตลอด ไม่มีปัญหาเลย
หากให้เปรียบเทียบโฆษกพรรคในวันนี้กับที่ผ่านมา นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ อดีตโฆษกพรรค คล่องตัวทางการเมืองมากกว่าน.พ.บุรณัชย์ เพราะเป็นรุ่นพี่
มีประสบการณ์และอาวุโสทางการเมือง ย่อมเจนจัดกว่ารุ่นน้อง
ศุภรักษ์ ควรหา
รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ
การเป็นโฆษกรัฐบาลที่เข้มแข็งต้องให้ประชาชนรับรู้ข่าวสารทั้ง 2 ด้านเท่าๆกัน หากเน้นการเมืองมากไป ประชาชนจะรับแต่ของหนักๆ เบื่อได้
แต่ถ้าเน้นงานวิชาการมากไปจะกลายเป็นเรื่องเบา ขาดความน่าสนใจ
ยอมรับว่าโฆษกรัฐบาลชุดนี้มีภาพที่เน้นวิชาการมากไป
กรณีนี้ไม่ถือมีใครผิดเพราะเพิ่งรับตำแหน่งไม่ถึงเดือน อาจไม่ได้พูดคุยพบปะเพื่อแบ่งงานกัน กลายเป็นว่าต่างคนต่างทำเพราะที่มาและความสามารถต่างกัน
นายปณิธานคลุกคลีกับงานด้านวิชาการมานาน ท่านก็ถนัดไปทางนั้น
แต่ยืนยันว่าโฆษกรัฐบาลทุกคนตั้งใจทำงาน ต้องการเป็นโฆษกที่ดี สื่อผลการทำงานของรัฐบาลไปยังพี่น้องประชาชนรอบด้าน
พวกเราพูดคุยเรื่องจุดบกพร่องบ่อยครั้ง โดยเฉพาะการแบ่งงาน โฆษกทุกคนไม่มีปัญหา ปรับเปลี่ยนพูดคุยกันอยู่ตลอด
นายปณิธานดูแลภาพรวมและฝ่ายความมั่นคง นายศุภชัย ใจสมุทร (กลุ่มเพื่อนเนวิน) ดูแลเรื่องการเมือง นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ (พรรคประชาธิปัตย์) ดูแลเรื่องเศรษฐกิจ และผม (พรรคเพื่อแผ่นดิน) ดูแลเรื่องสังคม
ทุกคนพร้อมทำงานตามภาระที่ได้รับมอบหมาย
เหลือเพียงเวลาพิสูจน์ผลงานเท่านั้น
น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์
อยากแสดงให้เห็นว่าการเมืองสามารถทำงาน สื่อกับประชาชนอย่างสร้างสรรค์ ไม่จำเป็นต้องโจมตี ใส่ร้าย ตอบโต้ แต่พูดกันด้วยเหตุผลและความจริง
จะมีน้ำหนักกว่าการตอบโต้หรือเล่นการเมืองในเชิงสร้างความแตกแยก
การทำการเมืองที่มีมาตรฐานจะไม่ทำให้บ้านเมืองสู่ทางตัน การเมืองที่สร้างสรรค์จะทำให้การพยายามสร้างความขัดแย้งหรือการใส่ร้าย ได้รับการปฏิเสธจากประชาชน
ตั้งแต่รับตำแหน่งโฆษกพรรค ผมแถลงข่าวร่วมกับนายเทพไททุกสัปดาห์ แยกประเด็นกันชัดเจน
ถ้าเป็นจุดยืนของพรรค กระทบต่อประโยชน์ของส่วนรวม จะเป็นหน้าที่ของโฆษก
ส่วนการเมืองแบบเก่าที่ใช้วิธีใส่ร้าย ปลุกระดม สร้างความขัดแย้ง นายเทพไทจะชี้แจง
เราทำงานประสานกันตลอด ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย ทุกคนเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน ยึดมั่นในหลักที่พูดแล้วเกิดประโยชน์ รับผิดชอบคำพูด คิดก่อนทุกครั้ง
จึงไม่น้อยใจที่ตั้งนายเทพไท รวมถึงไม่รู้สึกอะไรที่เป็นข่าวน้อยกว่าด้วย
ยืนยันว่าทีมงานโฆษกพยายามเต็มที่ ไม่ให้ประชาชนเบื่อหน่ายกับการตอบโต้ทางการเมือง หรือผิดหวังกับแนวทางการเมืองแบบเก่า
แต่ดูเหมือนพรรคฝ่ายค้านยังยืนยันที่จะใช้วิธีการกล่าวหา ปลุกระดม สร้างเงื่อนไขความขัดแย้งอยู่
เมื่อการเมืองเก่ายังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนไปสู่การเมืองที่ดีกว่า ก็มีความจำเป็นต้องชี้แจงข้อเท็จจริงมากขึ้น
น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์
ทุกคนเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตนเอง เราไม่ได้มีปัญหาอะไรต่อกัน ถ้าเราทำความเข้าใจในการทำงานจะสามารถเสริมทีมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ยิ่งนายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ รองเลขาธิการพรรค และประธานคณะปฏิบัติการทางการเมือง (วอร์รูม) และนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ให้คำแนะนำในการทำงาน
ทุกคนก็มีความกระตือรือร้นที่จะร่วมผลักดันภารกิจ เห็นทิศทางของพรรค รู้ว่าประเด็นไหนควรตอบโต้
เสียงวิจารณ์เรื่องทีมโฆษกเป็นธรรมดาของการทำงานเป็นทีมก็มีดีบ้าง บกพร่องบ้าง บางครั้งผมก็อาจบกพร่อง เป็นเรื่องปกติ
โฆษกพรรคเป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจสูง เชื่อว่าเขาสามารถทำหน้าที่ได้ดี ไม่ถือว่าบกพร่องเพราะตั้งใจทำงาน เพียงแต่ควรให้รองโฆษกช่วยงานด้วย เนื่องจากสาระของข่าวสารเยอะมาก
ปัญหาเรื่องการประสานงานภายในทีม อาจเป็นเพราะเราอยู่ในช่วงปรับตัวเป็นพรรครัฐบาล จึงต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจกับประชาชนในมุมของรัฐบาล
อีกทั้งเป็นจังหวะดีที่ผู้ใหญ่ให้คำแนะนำ ประสิทธิภาพของทีมโฆษกก็จะดีขึ้น