เอกพจน์โต้ลั่น คู่กรณีด่าถึงเติ้ง

"เอกพจน์" เปิดแถลงโต้ลั่นไม่ได้ต่อยหน้านายกเล็ก อ้างเป็นการป้องกันตัวหลังโดนนายกเล็กบางกะดีกับน้องชายรุมสกรัม

หลังไปตรวจความคืบหน้าการก่อสร้างสนามกีฬาปทุมธานี ตอนเกิดเหตุอยู่กับคนขับรถแค่ 2 คน ส่วนนายกเล็กมากัน 5-6 คน ต้องยกมือปัดป้องชุลมุน สุดท้ายคนรถเห็นท่าไม่ดีเลยยิงปืนขึ้นฟ้าให้หยุด แฉกลับนายกเล็กด่ากราดถึงหัวหน้า"บรรหาร" กล่าวหาว่าเป็นคนสั่งตัดงบฯ เผยบรรหารทั้งโมโหทั้งเสียใจที่โดนด่าแบบนี้ ฮึ่มฟ้องกลับข้อหาหมิ่นประมาทแน่ ด้านนายกเล็กคู่กรณียันไม่ยอมความ เอาเรื่องให้ถึงที่สุด ส่วนตำรวจระบุถึงทะเลาะวิวาทยอมความกันได้ แต่ยิงปืนในที่สาธารณะต้องดำเนินคดี

จากกรณีนายธวัชชัย อึ้งอัมพรวิไล นายกเทศมน ตรีตำบลบางกะดี อ.เมือง จ.ปทุมธานี เข้าแจ้งความว่าถูกนายเอกพจน์ ปานแย้ม อดีตส.ส.พรรคชาติไทย เขต 1 ปทุมธานี

กระโดดชกที่ใบหน้าจนปากแตก โดยนายธวัชชัยให้การอ้างว่าก่อนเกิดเหตุเข้าไปต่อว่านายเอกพจน์เรื่องโดนตัดงบประมาณสร้างสนามกีฬาจาก 63 ล้านเหลือ 18 ล้านจนอดีตส.ส.เอกพจน์ไม่พอใจชกเข้าที่ใบหน้า ขณะที่นายเอกพจน์ออกมาปฏิเสธว่าโดนรุมทำร้ายก่อน และเตรียมแจ้งความกลับด้วย ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 11 ก.พ. นายเอกพจน์ ปานแย้ม เปิดแถลงข่าวว่า จากกรณีที่นายธวัชชัยให้ข่าวต่อสื่อมวล ชน กระทั่งมีการพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ ทำให้เกิดความไม่สบายใจ

เนื่องจากเป็นการฟังความข้างเดียว จึงเปิดแถลงข่าวเพื่อให้ข้อมูลและความจริงที่ชัดเจน วันเกิดเหตุมีการไปตรวจดูและปรึกษาถึงความคืบหน้าการก่อสร้างสนามกีฬา จ.ปทุมธานี มีตนในฐานะอดีต ส.ส. นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย รองผวจ.ปทุมธานี ผู้ว่าฯกกท. และนายธวัชชัย นายกเทศมนตรีตำบลบางกะดี เจ้าของพื้นที่ ส่วนนายสุรพงษ์ตามมาทีหลัง โดยนายบรรหารไปดูความคืบหน้าดังกล่าวจากการร้องขอของตน เนื่องจากเป็นผู้ใหญ่และเป็นถึงอดีตนายกฯ ไปช่วยดูว่าจะมีทางช่วยเหลือในการปรับปรุงสนามกีฬาเพิ่มขึ้นหรือไม่ เนื่องจากงบประมาณที่ กกท.มีให้เพียง 18 ล้านบาทเท่านั้น จากทั้งหมดกว่า 60 ล้านบาท

นายเอกพจน์ กล่าวว่า ตามหลักการแล้วสนามกีฬาดังกล่าวถ่ายโอนให้อยู่ในความดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปแล้ว

กกท.ไม่จำเป็นต้องให้งบประมาณ แต่กกท.ยินดีที่จะสนับสนุนเงินจำนวนดังกล่าว วันที่เกิดเหตุจึงเป็นการพูดคุยกัน เพื่อดูว่าจะหาทางให้ใช้งบประมาณส่วนท้องถิ่นเพิ่มเติม หรือดึงงบ อบจ. มาช่วยสนับสนุนได้หรือไม่ หลังจากนายบรรหารกลับไป นายธวัชชัยตรงเข้าต่อว่าตนและผู้ว่าฯกกท.ทันที โดยอ้างว่ามีหนังสือจากกกท.แจ้งว่า มีงบประมาณก่อสร้างสนามกีฬาให้จำนวน 68 ล้านบาท แต่กลับถูกตัดเหลือเพียง 18 ล้านบาทเท่านั้น โดยใช้ถ้อยคำที่รุนแรง พร้อมกล่าวหานายบรรหารว่าใช้ไม่ได้ เอาเรื่องการเมืองมาเกี่ยวกับงบประมาณดังกล่าว พร้อมระบุว่าสาเหตุที่งบประมาณถูกตัดลงเนื่องจาก นายธวัชชัยและนายสุรพงษ์ย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทยในช่วงที่พรรคชาติไทยถูกยุบพรรค

"เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ท่านหัวหน้าบรรหารจะไปก้าวก่ายการดำเนินงานของราชการ ส่วน กกท.พยา ยามเต็มที่แล้วที่จะหาเงินมาให้ แต่งบประมาณมีเพียงเท่านี้ พอท่านผู้ว่าฯกกท.กลับไป นายธวัชชัยมาต่อว่าผมต่อทันที กล่าวหาว่าใช้อำนาจในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แอบหนีไปหาเสียงคนเดียวและอมเงินค่าใช้จ่ายในการหาเสียง เป็นการกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริง เพราะการเลือกตั้งครั้งนั้น นายสุรพงษ์มาขอลงสมัครเบอร์ 1 ผมให้ไป และเขาก็เป็นหัวหน้าทีมหาเสียงในครั้งนั้น เป็นคนที่ดูแลเรื่องเงินทุกอย่าง แล้วผมจะไปอมเงินได้อย่างไร ผมเป็นส.ส.มา 10 ปี 4 สมัย ประชาชนรู้ดีว่าผมไม่เคยมีพฤติกรรมแบบนั้น" อดีต ส.ส.ปทุมธานีกล่าว

นายเอกพจน์ กล่าวว่า เวลานั้นรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะทั้งนายธวัชชัยและนายสุรพงษ์ เคยเป็นคนที่เคารพ

แต่มากล่าวหาที่รุนแรงและใช้ถ้อยคำรุนแรงเช่นกัน จึงหมดความเคารพคนทั้งคู่ กล่าวตอบโต้ไปอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน นายธวัชชัยคงเสียหน้าที่ถูกตอบโต้ต่อหน้าข้าราชการและคนที่อยู่ในบริเวณนั้นที่มีจำนวนมาก จึงล้อมกรอบเข้ามา 5-6 คน ขณะที่ตนอยู่เพียง 2 คนกับคนขับรถเท่านั้น

"นายธวัชชัยเขาตัวใหญ่กว่าผมมาก ตรงเข้ามาเงื้อมือขวาเพื่อจะตบ แต่ผมเอามือกันไว้ และตอบโต้กลับไปเป็นการป้องกันตัว เขาก็เอามือมาค้ำคอผมไว้ ขณะเดียวกันนายสุรพงษ์ที่อยู่ด้านหลังตรงเข้ามาเงื้อมือจะตบผมอีกคน ผมเลยยกมือซ้ายกันไว้อีกคน ขณะนั้นคนที่เห็นเหตุการณ์พยายามที่จะเข้ามาห้าม คนขับรถผมเห็นท่าไม่ดีจึงนำปืนของผมที่มีทะเบียนถูกต้อง ออกมายิงขึ้นฟ้าเพื่อยุติเหตุ เพราะเกรงว่าผมจะถูกทำร้ายมากกว่านั้น เพราะทั้งนายธวัชชัยและนายสุรพงษ์ตัวสูงใหญ่กว่าผมมาก การยิงปืนไม่มีเจตนาฆ่าใคร เพราะระยะใกล้แค่นั้นหากเจตนาจริงคงต้องมีคนเจ็บ คนตายไปบ้างแล้ว ส่วนที่เขากล่าวหาว่าผมทำร้ายเขานั้น นาฬิกาข้อมือของผมขาดไป คงต้องมีบ้างที่เป็นรอยขีดข่วนขณะชุลมุนกัน" อดีตส.ส.พรรคชาติไทยกล่าว

นายเอกพจน์กล่าวว่า เรื่องที่เกิดเป็นการถูกรุมกระทำ ทั้งกล่าวหาอย่างรุนแรงและรุมทำร้ายร่างกาย แต่มองว่าเป็นเรื่องทะเลาะวิวาทธรรมดาของลูกผู้ชาย

ขอกันกินมามากกว่านี้ ไม่คิดที่จะไปแจ้งความดำเนินคดี หรือร้องเรียนสื่อมวลชนให้เป็นเรื่องใหญ่โต ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมนายธวัชชัยจึงไปแจ้งความและร้องเรียนสื่อจนเป็นข่าวขึ้นมา หลังเกิดเหตุโทรศัพท์ไปแจ้งนายบรรหารทันที และนายบรรหารโมโหและเสียใจมากในเรื่องที่เกิดขึ้น ว่าทำไมนายธวัชชัยต้องมากล่าวหาว่านายบรรหารแกล้งสั่งตัดงบประมาณ โดยก่อนหน้านี้นายธวัชชัยและนายสุรพงษ์เคยทำให้นายบรรหารเสียใจมากมาแล้ว เมื่อครั้งที่ทอดทิ้งไปอยู่พรรคเพื่อไทย ขณะที่คนอื่นพร้อมที่จะยืนหยัดร่วมกับพรรค

นายเอกพจน์กล่าวถึงกรณีนายธวัชชัยกล่าวหานายบรรหารว่าไปนั่งสั่งการเป็นประธานในการประชุมวันดังกล่าว

โดยระบุว่า วันดังกล่าวไม่ใช่เป็นการประชุมที่เป็นทางการแต่อย่างใด เป็นเพียงการพูดคุยกันธรรมดาเท่านั้น โดยนายบรรหารเป็นผู้ใหญ่ เป็นถึงอดีตนายกฯ ตามมารยาทการให้นั่งอยู่หัวโต๊ะไม่ใช่เรื่องที่ผิดวิสัย และนายบรรหารทราบดีว่ามีบทบาทมากแค่ไหนในวันนั้น แต่เป็นความหวังดีที่จะช่วยให้สนามกีฬาสร้างได้สำเร็จเท่านั้น ไม่สามารถไปตัดหรือเพิ่มเติมงบประมาณอะไรได้ ผู้ว่าฯ กกท.คงเป็นผู้ที่ชี้แจงได้ดีที่สุดในเรื่องงบประมาณดังกล่าว และในวันนั้นทั้งนายเอกพจน์และนายบรรหารไปดูโครงการสร้างสนามกีฬาดังกล่าวในฐานะประชาชนไม่ใช่นักการเมือง หรือส.ส.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเอกพจน์นำภาพถ่ายรอยแผลบริเวณต้นคอทั้งด้านซ้ายและขวา มาแสดงให้ผู้สื่อข่าวดู

โดยบริเวณต้นคอทั้ง 2 ด้านในภาพถ่ายมีรอยแดงเป็นริ้วเห็นได้ชัดเจน แต่ที่คอของนายเอกพจน์รอยแดงจางหายไปแล้ว พร้อมกล่าวถึงการต่อสู้คดีว่า ยังไม่ทราบว่า นายธวัชชัยไปแจ้งความดำเนินคดี หรือเพียงไปลงบันทึกประจำวันเท่านั้น หากเป็นการแจ้งความดำเนินคดี พร้อมที่จะต่อสู้จนถึงที่สุด เพราะได้รับบาดเจ็บด้วย และเป็นการถูกรุมทำร้ายร่างกาย จึงต้องป้องกันตัว นอกจากนั้นขณะนี้กำลังปรึกษาทีมทนายความว่า จะดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทต่อนายธวัชชัยหรือไม่ เนื่องจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายธวัชชัยให่สัมภาษณ์รายการข่าวเช้าของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ยืนยันว่า เป็นผู้กล่าวหานายเอกพจน์อมเงินค่าใช้จ่ายการหาเสียงเลือกตั้ง