ไทยรัฐ
วานนี้ (17 ก.ค.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวในรายการถึงลูกถึงคน ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี ถึงสถานการณ์การเมืองภายในประเทศขณะนี้ว่า จุดยืนของพรรคของพรรคชาติไทยในการผ่าทางตันปัญหา คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องเสียสละลาออก เพื่อให้วิกฤติต่างๆ คลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ในเมื่อ กกต.มีเหตุผลของตัวเอง ที่ไม่ยอมลาออก ดังนั้น ตนจึงขอแสดงความเห็นในฐานะคนไทยที่เบื่อการเมืองสภาพนี้ว่า ควรสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งวันที่ 15 ต.ค. เพื่อให้มีรัฐบาลใหม่แทนรัฐบาลรักษาการ มีสภา เพื่อให้ทุกฟันเฟืองทำงานไปตามที่ควรจะเป็น หากจะมีปัญหาเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องของวันข้างหน้าที่จะต้องหาทางแก้ไขกันต่อไป แต่อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ และหากมีปัญหาในเรื่องการเลือกตั้ง กกต.จะต้องรับผิดไปเต็มๆ
รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า สถานการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนี้ ไม่มีทางที่จะมีคนกลางมาไกล่เกลี่ยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะไม่มีใครยอมเปลืองตัว เพราะแม้กระทั่ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ยังถูกสมาชิกพรรคไทยรักไทยสวนกลับ ปัญหาที่เป็นอยู่เวลานี้คือ ทุกฝ่ายต้องการมีอำนาจ ดังนั้น ควรจะต้องหาทางใหม่ที่จะทำให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ ดีที่สุดคือ กกต.ต้องลาออก แต่ถ้ายืนยันว่าไม่ผิด ไม่ลาออก ก็ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้น
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขณะนี้ควรจะสงบ และรอดูท่าที เพื่อให้บ้านเมืองขยับไป และคิดว่าในอนาคตพันธมิตรฯ จะเคลื่อนไหวได้ในวงจำกัด ไม่สามารถสร้างเงื่อนไขได้มากยิ่งกว่าเดิม และถ้าตนเป็นที่ปรึกษาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะแนะนำให้นายกฯ หยุดพูด สงบปากสงบคำ เพื่อไม่ให้มีเงื่อนไขที่พันธมิตรฯ จะชุมนุมใหญ่ได้ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
"ผมเคยพูดไปหลายครั้งแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ท่านต้องเป็นนายกฯ ของประเทศไทย ไม่ใช่หัวหน้าพรรคไทยรักไทย แต่ทุกวันนี้สิ่งที่ท่านแสดงออกนั้น แสดงถึงความเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ถ้าผมเป็นนายกฯ ผมต้องพูดแบบนักการทูต ไม่ใช่พูดแบบท้าตีท้าต่อย ให้มีปัญหามากขึ้น ไปพูดเรื่องผู้มีบารมี สมมติว่ามีจริง แล้วไง ท่านนายกฯ พูดแล้วเกิดประโยชน์อะไร ไม่พูดไม่ดีกว่าหรือ เพราะถ้าไม่พูด พันธมิตรฯ ก็ไม่ออกมาชุมนุม ประชาชนก็ไม่ออกมาด่าท่าน" นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ กล่าวด้วยว่า หากการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคชาติไทยได้จัดตั้งรัฐบาลตัวเขาจะไม่ขอรับตำแหน่งรัฐมนตรี จะขอเป็นเพียง ส.ส.เพราะรู้ว่าตัวเองยังไม่มีคุณสมบัติที่จะบริหาร ดังนั้นจึงพอใจในหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐมนตรีมากกว่า