เพื่อไทยดันกม.ล้างโทษ แบไต๋ช่วยนายใหญ่กลับ

"บอกประชาชนว่า ถ้าประชาชนพร้อม ผมพร้อมจะกลับไปเป็นนายกฯให้ประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ถ้าประชาชนพร้อมเมื่อไรผมก็พร้อมเมื่อนั้น ถ้าประชาชนยอมพ่ายแพ้ ก็ถือว่าผมหมดหน้าที่ ถึงแม้ผมจะต้องอยู่ต่างประเทศอีกนาน แต่ผมจะไม่ยอมตายในต่างประเทศแน่นอน อย่างมากที่สุด ผมสู้ไม่ได้ ผมก็จะแอบลักลอบเข้าไปตายในอีสาน ถ้าสักวันหนึ่งพี่น้องประชาชนบอกว่าบ้านเมืองต้องการผม ผมก็จะกลับไปทำหน้าที่"

หลังสิ้นเสียง "นายใหญ่" พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่เปล่งออกมาด้วยความรู้สึกคับแค้นใจระหว่างการโฟนอินจากเกาะฮ่องกงมา "เซย์ฮัลโหล" กับบรรดาลูกพรรคเพื่อไทย ในระหว่างการสัมมนา ส.ส. ที่โรงแรมกรีนเนอร์รี่ รีสอร์ท เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา เมื่อวัน 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ต้องยอมรับว่าเสียงดังกล่าวเหมือน "น้ำทิพย์" สร้างความคึกคักให้บรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทยเป็นอย่างมาก

คึกคักแรกเกิดขึ้นกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และประธาน ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร ที่ผุดไอเดีย "เด้ง" รับบัญชา "นายใหญ่" ทันที!!!

ด้วยการเปิดประเด็น พ.ร.บ.อภัยโทษ หรือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่พรรคเพื่อไทยจะนำเสนอแคมเปญเลือกตั้งครั้งต่อไป โดยกฎหมายฉบับดังกล่าวจะลบล้างความผิดทางอาญาในคดีที่เป็นผลพวงมาจากเหตุการณ์รัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งหากประชาชนเห็นด้วยกับไอเดียนี้ จะต้องสนับสนุนผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยเดินเข้าสู่สภาให้มากที่สุด และเป็นรัฐบาลพรรคเดียวเพื่อความสะดวกในการเสนอและผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้

เพราะนั่นหมายถึงหนทางเดียวที่ "นายใหญ่" จะสามารถเดินทางเข้าประเทศได้ ในฐานะคนธรรมดา ไม่ใช่ "นักโทษชาย" ที่ถูกศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินจำคุกเป็นเวลา 2 ปี

แม้ "เฉลิม" จะยกเหตุผลที่น่าล่อตาล่อใจว่า กฎหมายดังกล่าวให้ประโยชน์กับคนทุกกลุ่มรวมไปถึงกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บรรดาแกนนำล้วนแล้วแต่มีคดีติดตัวจำนวนไม่น้อย จากการยึดสถานที่ราชการอย่าง ทำเนียบรัฐบาล สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะช่วยลดความขัดแย้งในสังคมระดับหนึ่งได้ก็ตาม

แต่ในทางตรงกันข้าม ไอเดียที่ "เฉลิม" คิดว่าบรรเจิดอยู่ในขณะนี้ กลับเป็นปัจจัยสำคัญที่จะขยายรอยร้าวความขัดแย้งให้ประเทศเพิ่มมากขึ้น

เพราะทันทีที่กฎหมายลบล้างความผิดมีการประกาศใช้ คนที่ได้รับผลประโยชน์จากกฎหมายฉบับดังกล่าว อย่าง "ตรงๆ และเต็มๆ" ก็คือ ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกพ้องนั่นเอง

เพราะนั่นหมายความว่าคดีของ พ.ต.ท. ทักษิณ ที่ศาลตัดสินอย่างคดีที่ดินรัชดาฯ ก็จะได้รับการอภัยโทษ ขณะที่คดีอื่นๆ ที่อยู่ในกระบวนการไต่สวนอีกหลายคดี ไม่ว่าจะเป็น คดีหวยบนดิน คดีเอ็กซิมแบงก์ คดีได้ทรัพย์สินมาโดยมิชอบ รวมไปถึงคดีภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม จะได้รับนิรโทษกรรม แม้ว่าคดีต่างๆ จะมีการวินิจฉัยว่ามีมูลการทุจริตจริง

ประเด็นนี้แม้แต่ ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยเอง ก็ไม่เห็นด้วยนัก โดยในระหว่างการประชุมคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บรรดาวิปฝ่ายค้านได้หยิบยกกรณีดังกล่าวขึ้นหารือ ต่างคนต่างเกิดอาการมึนงง ต่อแนวคิดดังกล่าว เพราะยังไม่เคยผ่านที่ประชุมของ ส.ส.พรรคเลย

ขณะที่ในระดับแกนนำพรรค เห็นว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ควรที่จะออกมาเปิดหน้าในเรื่องนี้มากนัก เนื่องจากจะทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าพรรคเพื่อไทยจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือ "ทักษิณ" และจะส่งผลกระทบต่อคะแนนเสียงในส่วนที่พรรคเพื่อไทยจะได้เพิ่มมากขึ้นในกลุ่มชนชั้นกลาง ที่ไม่เห็นด้วยกับระบอบอมาตยาธิปไตย

ดังนั้น พรรคเพื่อไทยควรที่จะสงวนท่าในเรื่องนี้ แล้วปล่อยให้มวลชนเครือข่ายของพรรคเดินแทน

กระนั้นแนวความคิดของ "เฉลิม" ครั้งนี้ไม่ได้เป็นประเด็นใหม่แต่อย่างใด เพราะ พ.ร.บ.ดังกล่าว ได้ร่างขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยใช้ชื่อว่า พ.ร.บ.สร้างความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งมีเพียง 5-6 มาตราเท่านั้น

เนื้อหา พ.ร.บ.ดังกล่าวยกเลิกคดีความทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและการรัฐประหาร โดยมีการหยิบยกเหตุการณ์ นองเลือด 6 ตุลาคม 2519 มาเปรียบเทียบด้วย

งานนี้ "เชื่อขนมกินได้" ว่าการผลักดัน พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็นเพียงการปลุกกระแสชั่วคราวเท่านั้น เพราะพรรคเพื่อไทยไม่สามารถสร้างความชอบธรรมในการเสนอกฎหมายฉบับนี้ได้ แม้ว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคจะได้รับเลือกเป็นจำนวนมากก็ตาม

เพราะทันทีที่พรรคเพื่อไทยขยับเมื่อใด เมื่อนั้น "เสื้อเหลือง" จะกลับมาอย่างแน่นอน

และการกลับมาครั้งนี้คงหลีกหนีคำว่า "นองเลือด" ไม่พ้น!!!!


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์