ขณะที่มาตรการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อสนับสนุนการส่งออกนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า
การดูแลค่าเงินบาทของ ธปท.ในขณะนี้เหมาะสม อยู่แล้วและค่าเงินบาทก็อยู่ในระดับที่รับได้ แม้ว่าหลายฝ่ายต้องการเห็นค่าเงินบาทที่อ่อนกว่านี้ก็ตาม จึงไม่ควรเปรียบเทียบค่าเงินกับประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น โดยในการประชุม ครม.เศรษฐกิจสัปดาห์หน้า ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังเร่งสรุปปัญหาสินเชื่อที่ได้รับผลจากวิกฤติการเงิน ปัญหาชะลอตัวของเศรษฐกิจ และความคืบหน้ามาตรการค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ ว่าได้มีกลไกความร่วมมือกับสถาบันการเงินอย่างไร และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปสถานการณ์แรงงานที่ชัดเจนตั้งแต่เดือน พ.ย.-ธ.ค. 51 และ ม.ค. 52 รวมทั้งพิจารณาว่ามาตรการของสำนักงานประกันสังคมจะเชื่อมต่อกับการฝึกอบรมแรงงาน สร้างอาชีพและการสร้างงานได้อย่างไร
“ผมไม่หลอกประชาชนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นแก้ง่าย เพราะทั่วโลกก็ยอมรับว่าหนักหนาสาหัส ขอให้ประชาชนทุกคนมั่นใจว่าเราจะทำทุกสิ่งที่ทำได้ ไม่มีประโยชน์แอบแฝงและจะเดินหน้าอย่างดีที่สุด”
ด้านนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า
อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงนี้น่าจะยังบวกอยู่และมั่นใจว่าตลอดทั้งปีจะไม่ติดลบแน่นอน หัวใจสำคัญคือจะทำอย่างไร ไม่ให้มีคนตกงานเพราะตัวเลขคนตกงานขณะนี้มันเพิ่มขึ้นทุกเดือน เดือนละกว่า 10,000 คน โดยเดือน ธ.ค.51 อยู่ที่ 20,000 คน เข้าเดือน ม.ค.52 เพิ่มเป็น 30,000 คน สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งทำขณะนี้คือ เอางบประมาณมากระตุ้นเศรษฐกิจ รองรับไม่ให้คนตกงานและด้วยความร่วมมือที่ดีของรัฐสภาน่าจะทำให้งบเพิ่มเติมกลางปี 2552 นำมาใช้ได้เร็วกว่าวันที่ 1 เม.ย.นี้
ขณะเดียวกัน นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเซีย พลัส และนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ ได้กล่าวในการสัมมนาเรื่อง “นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฟื้นความมั่นใจผู้ลงทุนได้จริงหรือ” ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้ว่า
กรณีที่เลวร้ายที่สุดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้มีโอกาสติดลบมากกว่า 4% และในกรณีที่ดีที่สุด จีดีพีของประเทศก็ยังคงติดลบเช่นกัน โดยประเมินไว้ที่ลบ 1% ส่วนกรณีปานกลางจีดีพีจะติดลบประมาณ 2.6% ซึ่งเป็นผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่เลวร้ายลงแม้ว่ารัฐบาลปัจจุบันจะมีมาตรการต่างๆออกมากระตุ้นเศรษฐกิจก็ตาม เนื่องจากขณะนี้มีการประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจถึงจุดต่ำสุดปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯส่ออาการหนักหนากว่าที่ประเมินไว้ในครั้งแรก โดย เฉพาะราคาสินทรัพย์ ทั้งบ้าน ที่ดินและหุ้นยังไม่ถึงจุดต่ำสุด และอาจมีการปลดคนงานเพิ่มขึ้น
“ประมาณการจีดีพีไทยปีนี้ที่จะติดลบกว่า 4% ไม่ใช่เพราะมาตรการรัฐบาลไม่ดี แต่ เพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก ซึ่งทุกประเทศมองว่าต้องรักษาตัวเองให้รอด พยายามให้ติดลบน้อยที่สุด หลังรัฐบาลมีนโยบายต่างๆออกมา ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มกลับมาบ้าง แต่อยากให้ทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีเม็ดเงินไหลเข้าระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ยั่งยืน”
นายก้องเกียรติยังกล่าวว่า
สิ่งสำคัญคือต้องการให้มาตรการการคลังที่รัฐบาลจะออกมาเป็นมาตรการที่กระตุ้นและดูแลแต่ละภาคส่วนอย่างชัดเจน ไม่ใช่นโยบายแจกเงินฟรี นอกจากนี้ นโยบายก๊อก 2 ที่จะออกมา ควรมีมาตรการกระตุ้นการใช้เงิน โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้ที่มีฐานะดีหรือคนรวยที่มีกำลังซื้อสูง โดยกระตุ้นให้นำเงินออมออกมาใช้ ส่งเสริมให้คนกลุ่มดังกล่าวเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น.