ตกเป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์กันตามประเพณี
ทั้ง"รูปแบบ"และ"เนื้อหา"รายการ"เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์"
ที่เพิ่งออกอากาศครั้งแรกเมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมาทางโทรทัศน์เอ็นบีที ยิงสัญญาณถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ
เรื่องรูปแบบนั้นไม่ต้องพูดถึงมากเนื่องจากเป็นการจัดรายการครั้งแรก
ความบกพร่องไม่ลงตัวย่อมมีบ้างเป็นธรรมดา
ส่วนที่มีการนำไปเปรียบเทียบกับรายการของนายกฯสมัคร สุนทรเวช ในอดีตนั้น ก็ไม่น่านำไปเปรียบเทียบกัน เพราะเรื่องแบบนี้สไตล์ใครสไตล์มัน
ลอกเลียนกันไม่ได้
คนรุ่นใหม่เรียบๆร้อยๆ อย่างนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะให้ไปพูดจาด้วยคำโบร่ำโบราณ เอะอะโผงผางเป็นขวานผ่าซากเหมือนนายกฯสมัครก็คงไม่ได้
ขืนดันทุรังไปลอกเลียนแบบจะยิ่งไม่น่าดูไปกันใหญ่
ปล่อยให้นายกฯอภิสิทธิ์ จัดรายการด้วยความมั่นใจในแบบฉบับของตัวเองแบบนี้ดีแล้ว
แม้จะเห็นด้วยกับที่หลายคนวิจารณ์ ว่าดูแล้วเหมือนอาจารย์มหา"ลัยกำลังสอนลูกศิษย์มากกว่าก็ตาม
ส่วนเรื่องของ"เนื้อหา"ที่นายกฯอภิสิทธิ์ หยิบยกมาพูดคุยกับประชาชนครั้งแรกในรายการ
หลักใหญ่ใจความคือการชี้แจงแนวทางการทำงานของรัฐบาล
เน้นหนักเรื่องมาตรการด้านเศรษฐกิจที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากครม.เมื่ออังคารก่อน แล้วโดนฝ่ายไม่เห็นด้วยสับเละว่าเป็น"ประชานิยม"ยิ่งกว่าสมัยอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร เสียอีก
โดยเฉพาะเรื่องแจกเงิน 2,000 บาทให้ผู้มีเงินเดือนไม่ถึง 15,000 บาททั้งในภาครัฐและเอกชน ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากกว่าใครเพื่อน
กลัวเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
อย่างไรก็ตามนายกฯอภิสิทธิ์ ย้ำผ่านรายการว่า เสียงติชมต่างๆนั้นรัฐบาลพร้อมรับฟัง
แต่ยืนยันว่าการแจกเงิน 2,000 บาท รัฐบาลคิดมาค่อนข้างรอบคอบแล้ว ว่าจะเป็นเครื่องมือช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้
นายกฯยังเปรียบสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยตอนนี้ ว่าเหมือนไฟกำลังไหม้บ้านจึงอย่าไปเสียดายน้ำ
เปรียบเทียบให้คนเห็นคล้อยตามได้ดีทีเดียว
แต่ขณะเดียวกันก็ชวนให้คิดต่อไปว่าแล้วที่ไฟมันไหม้อยู่ตอนนี้
ใครเป็นมือเพลิง?
ไฟเศรษฐกิจจากสหรัฐลุกลามมาไหม้บ้านเรา ก็ส่วนหนึ่ง แต่นั่นยังไม่ร้ายแรงเท่ากับ"คนใน"ที่จุดไฟเผาบ้านตัวเอง
เรื่องที่ต้องเร่งเอาน้ำไปดับไฟนั้นก็ถูกต้อง
แต่รัฐบาลก็ต้องไม่เฉื่อยแฉะกับการจับตัวมือวางเพลิงเผาบ้านเผาเมืองตัวเองมาลงโทษให้ได้
การปิดยึดสนามบินจนทำให้ประเทศชาติเสียหายนับแสนล้านบาท
ก็ถือเป็นการวางเพลิงเผาประเทศอย่างหนึ่ง