นักเศรษฐศาสตร์ธ.โลกชี้ศก.โลกทรงตัว ไทยเติบโต2% ชมมาตรการรบ.เหมาะ-ทันเวลา หนุนแจก2พัน


นักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก ออกปากชมรัฐบาลคลอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมาะสม ทันเวลา สนับสนุนแจก 2 พันตรงกลุ่มเป้าหมาย ไม่ใช่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ลั่นถ้าศก.โลกทรงตัว มาตรการที่ออกมาจะช่วยให้ประเทศไม่ติดลบ

นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ประจำประเทศไทย ธนาคารโลก แถลงแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2552 เมื่อวันที่ 16 มกราคมว่า ขึ้นอยู่กับผลกระทบที่จะเข้ามาจากปัจจัยภายนอก เพราะขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวรุนแรงเพียงใด หากชะลอตัวรุนแรงมากกว่าที่คาด คงต้องปรับประมาณการอีกครั้งหนึ่ง แต่หากเศรษฐกิจโลกทรงตัวได้ มาตรการต่างๆ ของรัฐบาลคงช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ 2% ไม่ใช่อัตราที่ติดลบเหมือนที่หลายฝ่ายกลัว

ทั้งนี้เชื่อว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จะช่วยบรรเทาผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจไทยที่มาจากปัจจัยภายนอกได้ มาตรการทั้งระยะสั้นและระยะกลาง ถือเป็นมาตรการที่เหมาะสมทันเวลา เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ต้องมองระยะสั้นก่อน ขณะเดียวกันรัฐบาลเองไม่ได้ละเลยมาตรการระยะกลางด้วย เพราะหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวใน 2-3 ปีข้างหน้า ไทยต้องพร้อมที่จะเข้าแข่งขันในเวทีโลกด้วย

สำหรับมาตรการให้เงินช่วยเหลือผู้มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือนในอัตรา 2,000 บาทต่อปีนั้น ที่เป็นการจัดสรรจากงบประมาณกลางปีจากวงเงิน 115,000 ล้านบาทถือว่า เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้มีรายได้น้อย ในระบบประกันสังคม ซึ่งหากมองในมุมผู้มีรายได้น้อยจริง ที่มีรายได้ประมาณ 3,000-4,000 บาทต่อเดือน การได้เพิ่มมา 2,000 บาทก็ถือว่ามากซึ่งจะสามารถนำไปจับจ่ายใช้สอยได้ แต่หากมุมมองจากคนที่มีเงินเดือน 15,000 บาทก็อาจจะน้อยและจะออมเงินมากกว่าที่จะนำไปใช้สอย

"การให้เงินดังกล่าวถือว่า อย่างน้อยก็เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ และเพิ่มโอกาสให้กับผู้มีรายได้น้อยจริง และเงินดังกล่าวก็จะหมุนเวียนเข้ามาในระบบเศรษฐกิจได้ คงไม่เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ หรือสูญเปล่าแต่อย่างใด ซึ่งในต่างประเทศเองเวลาต้องการช่วยเหลือคนจน ก็จะตั้งเป้าให้เงินเข้าไปโดยตรงกับกลุ่มเป้าหมาย แต่ไทยยังไม่มีระบบหรือข้อมูลเพียงพอ หรือที่มีก็ไม่ได้นำมาใช้ให้ตรงเป้าหมายจริง เพราะสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเองก็จะมีข้อมูลคนจนด้วย แต่ไม่ได้นำมาใช้แต่อย่างใด" นางสาวกิริฎากล่าว

นางสาวกิริฎากล่าวว่า ผลของมาตรกาต่างๆ จะส่งผลในไตรมาส 2 ปีนี้ ดังนั้นคงทำให้เศรษฐกิจไตรมาสแรกปีนี้สาหัสที่สุด เพราะเมื่อเทียบกับฐานของปีก่อน พบว่า ไตรมาสแรกปี 2551 นั้น เศรษฐกิจไตรมาสแรกขยายค่อนข้างดี ดังนั้นปีนี้คงแย่ แต่มีสิ่งที่ช่วยได้คือ ราคาสินค้าเกษตร แม้ว่าจะลดลง แต่ก็ไม่ต่ำมากนัก น่าจะช่วยพยุงตัวของรายได้ภาคการเกษตรให้อยู่ไปได้ และเชื่อว่าในระยะต่อไปรัฐบาลเองน่าจะมีมาตรการอื่นออกมาอีกมาก เช่นมาตรการภาษี การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพราะเชื่อว่าในระยะสั้นน่าจะมีสินเชื่อออกมาจากการค้ำประกันสินเชื่อให้กับธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) เพราะการลดดอกเบี้ยลง คงไม่ช่วยให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อได้มากนัก ในภาวะที่ยังมีความเสี่ยง จึงต้องอาศัยกลไกการรับประกันแทน ขณะที่ดอกเบี้ยที่ลดลง ช่วยแบ่งเบาภาระต้นทุนให้ลดลงเท่านั้น

นายทรงธรรม ปิ่นโต ผู้บริหารส่วนเศรษฐกิจมหภาค สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กล่าวในการสัมมนาเรื่อง "บทบาท ธปท.ในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย" ว่า ในช่วงภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้น สิ่งที่ต้องดำเนินการ คือ กระตุ้นให้ผู้บริโภคมั่นใจออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนมากขึ้น ขณะที่นโยบายการคลังจะต้องเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งมาตรการดูแลแรงงานที่ตกงาน ดูแลผู้มีรายได้น้อยและทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในระดับรากหญ้า นับเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า

สำหรับส่วนนโยบายการเงิน การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือเพียงร้อยละ 2 จะช่วยให้ต้นทุนในการกู้เงินน้อยลง นักลงทุนจะกล้าลงทุนมากขึ้น นับเป็นการสร้างบรรยากาศในการลงทุน พร้อมกับกระตุ้นความต้องการสินค้าและบริการต่างๆ ในประเทศ สอดคล้องกับมาตรการการคลังที่เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ อย่างไรก็ตาม มาตรการทางด้านการคลังจะต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย เพื่อให้การใช้จ่ายเป็นไปอย่างรวดเร็ว

นายทรงธรรมกล่าวว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยปีนี้ จากการประมาณการล่าสุดจะเติบโตร้อยละ 0.5-2.5 และตัวเลขประเมินใหม่ ธปท.จะประกาศอีกครั้งในวันที่ 23 มกราคม ซึ่งเศรษฐกิจไทยจะไม่ติดลบแน่นอน โดยยังขยายตัวเป็นบวกพอใช้ได้ ด้านอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมาลดลง เป็นผลจากราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมาก และเศรษฐกิจชะลอตัวลง ทำให้เงินเฟ้อลดลง รวมทั้งผลจาก 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อไทยทุกคน อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยยังขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐ ซึ่งมีการประเมินจากหลายฝ่ายว่ายังมีความเสี่ยง ซึ่งทางประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช และนายบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดี ได้เตรียมงบประมาณไว้อัดฉีดหลายแสนล้านบาท จึงเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะค่อย ๆ ดีขึ้นในครึ่งหลังปีนี้ รัฐบาลไทยคงจะต้องเร่งเดินหน้ามาตรการด้านการคลัง โดยการเบิกจ่ายต้องทำให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

ส่วนการจัดสรรงบประมาณกลางปีเพิ่มเติม 115,000 ล้านบาทนั้น นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงการที่กระทรวงพลังงานได้รับจัดสรรค่อนข้างน้อยว่า เชื่อว่าไม่กระทบต่อการดำเนินงานด้านพลังงาน เพราะรัฐบาลจำเป็นต้องพิจารณาจัดสรรในส่วนที่จำเป็นก่อน อีกทั้งในส่วนของพลังงานยังมีงบประมาณด้านการลงทุนด้านพลังงานที่เป็นแผนการลงทุนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแผนงานด้านพัฒนาพลังงานทดแทน แผนงานการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ทั้งบริษัทปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ที่มีแผนลงทุนอยู่แล้ว ทั้งระยะกลาง และระยะยาว รวมถึงแผนการลงทุนใหม่ ในปี 2552 ด้วย

นายนิรมิต สุจารี ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย (พท.) อดีตกลุ่มเพื่อนเนวิน กล่าวว่า กระแสข่าวพรรคร่วมรัฐบาลไม่พอใจที่งบประมาณตามแผนกระตุ้นถูกเร่งอนุมัติให้กับกระทรวงที่มีรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์กำกับดูแลนั้น เรื่องนี้น่าจะมีผลต่ออายุรัฐบาล เพราะการรวมตัวตั้งรัฐบาลไม่ใช่ระบบพรรค แต่เป็นผลประโยชน์แบ่งโควต้ารัฐมนตรีเท่านั้นเอง แม้พรรคประชาธิปัตย์จะยอมให้เก้าอี้พรรคร่วมหลายตำแหน่ง แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีจัดการมรดก ซึ่งความไม่ลงรอยนี้น่าจะเป็นปัญหาในเรื่องของการผ่านกฎหมายในสภาผู้แทนราษฎร หรือแม้แต่กรอบการเจรจาอาเซียนที่สภาจะต้องให้ความเห็นชอบ รวมถึงการจัดทำงบประมาณกลางปีเพื่อนำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ที่จะเข้าสู่สภาในปลายเดือนมกราคม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยเสียง ส.ส.ในสภา ดังนั้น ต้องจัดสรรกันให้ดีหรือไม่ก็ต้องข่มขู่กัน ไม่เช่นนั้นคะแนนเสียงอาจไม่พอ

นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีที่มีการโจมตีนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลว่าการแจกเงิน 2,000 บาท ให้ผู้มีรายได้ประจำไม่เกิน 14,999 บาท เป็นการซื้อเสียงล่วงหน้าว่า เรื่องนี้ต้องพิจารณาข้อมูลที่จะให้กับ กกต. ว่าเงินดังกล่าวเป็นการใช้งบประมาณเพื่อการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ แต่ก็ต้องมีผู้ร้องเรียนเข้ามาก่อนจึงจะตรวจสอบได้

นายวิฑูรย์ นามบุตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวถึงนโยบายสร้างหลักประกันรายได้แก่ผู้สูงอายุตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณกลางปี จำนวน 9,000 ล้านบาท สำหรับจ่ายให้กับผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน และไม่มีผู้เลี้ยงดูว่า ในวันที่ 22 มกราคม พม.และกระทรวงมหาดไทย จะร่วมประชุมเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ เพื่อหาข้อสรุปว่าการลงทะเบียนของผู้สูงอายุจะเป็นรูปแบบใด รวมถึงแก้ไขปัญหาการจ่ายเบี้ยยังชีพไม่ทั่วถึงหรือจ่ายไม่เท่ากัน การเลือกปฏิบัติตามที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งเคยทำมา

"จากนี้ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นคนจนหรือคนรวยจะได้เดือนละ 500 บาทเท่ากันหมดทุกคน ทุกเดือน เพื่อแก้ปัญหาเงินไม่พอจ่าย หรือจะต้องจ่ายเป็นก้อน 3 เดือน หรือ 6 เดือนครั้ง เพื่อให้คุ้มค่ากับค่าเดินทางที่จะผู้สูงอายุจะต้องจ่ายเวลาไปรับเงิน โดยผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ให้มาขึ้นทะเบียนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของตัวเอง เช่น อบต. เทศบาล ส่วนผู้สูงอายุที่มาอยู่ใน กทม. แต่มีทะเบียนบ้านอยู่ต่างจังหวัด คณะกรรมการ จะกำหนดแนวทางปฏิบัติว่าต้องขึ้นทะเบียนที่ไหน ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ และน่าจะได้ข้อสรุปเดือนมีนาคม เพื่อจ่ายเงินได้ในเดือนเมษายน เป็นเวลา  6 เดือน จากนั้นจะมีการตั้งงบประมาณใหม่ในปีงบประมาณใหม่ เพราะเรื่องนี้เป็นนโยบายรัฐบาลก็จะเดินหน้าต่อไปอีก เพื่อทำให้ผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน และไม่มีผู้เลี้ยงดูจะได้รับเงินช่วยเหลือไปตลอดชีวิต" นายวิฑูรย์กล่าว

นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยจากพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ที่กระทรวงมหาดไทยว่า สั่งการไปยังอธิบดีกรมที่ดินเพื่อให้ดูแนวทางการจัดสรรที่ทำกินให้กับประชาชน ธนาคารที่ดิน โฉนดชุมชนเพื่อให้ประชาชนได้ทำกิน เพราะปัญหาหลักคือเรื่องที่ทำกิน ทำให้ประชาชนต้องรุกพื้นที่ บางพื้นที่เป็นพื้นที่ป่าสงวน และเกิดความไม่มั่นใจในการทำกิน เพราะประชาชนไม่มีเอกสารสิทธิ ดังนั้น จึงต้องรื้อแนวทางการแจกเอกสารสิทธิที่ทำกินในพื้นที่สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือ ส.ป.ก.4-01 ที่รัฐบาลประชาธิปัตย์แจกไปแล้ว 14 ล้านไร่ ยังเหลือพื้นที่อีกประมาณ 16 ล้านไร่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะมาหารือร่วมกัน ไม่เช่นนั้นปัญหาการรุกพื้นที่ป่าก็ยังคงเกิดขึ้น และเจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่มีปัญหาไปเอาคืน จึงต้องดำเนินการต่อโดยถือเป็นนโยบายของรัฐบาล

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์