มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับของประดาผู้ที่ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหว ต่อต้านและพยายามล้มล้างสิ่งที่เรียกว่า ระบอบทักษิณ ว่า
ระบอบทักษิณ ได้ก้าวมาถึงวาระสุดท้ายแล้ว
ภายหลังคำวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2550 อาจจะยังไม่เด่นชัด เพราะสามารถผงาดขึ้นมาได้ในรูปแห่งพรรคพลังประชาชน
พรรคพลังประชาชนซึ่งชนะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนธันวาคม 2550
กระนั้น ภายหลังคำวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชนพร้อมกับ พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย เมื่อเดือนธันวาคม 2551
อาการของ "ระบอบทักษิณ" อันดำรงผ่าน พรรคเพื่อไทย ป้อแป้เป็นอย่างมาก
ไม่เพียงแต่ต้องสูญเสียที่นั่งในหลายพื้นที่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้กับพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน หากแม้กระทั่งคนของพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังสามารถกำชัยเหนือพรรคเพื่อไทยได้
ยิ่งเมื่อ นายเนวิน ชิดชอบ ผนึกพลังร่วมกับ พรรคมัชฌิมาธิปไตย กลายเป็น พรรคภูมิใจไทย ยิ่งทำให้อาการของพรรคเพื่อไทยยิ่งรวนเร รอวันเกิดการแยกตัวอีกวาระหนึ่ง
ระบอบทักษิณ กับ อภิมหาประชานิยม รัฐบาล อภิสิทธิ์
เป็นความจริงที่ ระบอบทักษิณ อยู่ในสถานะถอยร่นนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เป็นต้นมา
มีหลายรูปธรรมอันสะท้อนถึงการถอยร่น
รูปธรรม 1 คือ การแยกตัวไปจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่อย่าง พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นขุนพลคนสำคัญของพรรคไทยรักไทยเดิมทั้งสิ้น
รูปธรรม 1 คือ การแยกตัวออกภายหลังพรรคพลังประชาชนถูกยุบของ กลุ่มเพื่อนเนวินไปจับมือสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
น่าสนใจก็ตรงที่การสิ้นไปของ ระบอบทักษิณ มิได้เป็นการสิ้นไปอย่างชนิดไฟหมดเชื้อ
ตรงกันข้าม เพราะได้มีการนำเอาความสำเร็จของระบอบทักษิณไปต่อยอดใน พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และรวมทั้งกลุ่มเพื่อนเนวิน เมื่อพรรคและกลุ่มเหล่านี้เข้าร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์
ในอีกด้านหนึ่ง ความสำเร็จจากพรรคไทยรักไทยอันก่อรูปเป็นระบอบทักษิณก็ไปมีชีวิตใหม่อีกวาระหนึ่งผ่านกระบวนการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
พลันที่รายละเอียดแห่งงบประมาณกลางปี 2552 ผ่านความเห็นชอบจากครม. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2552
น.ส.พ.บางฉบับพาดหัวว่า "อภิมหาประชานิยม"
เพราะหากยุคพรรคไทยรักไทยให้ 1 แสนยุคพรรคประชาธิปัตย์ก็ให้เพิ่มเป็น 2 แสน ดำเนินไปในลักษณะของการเกทับ บลัฟแหลก
ไม่เพียงเท่านั้น ยุคพรรคประชาธิปัตย์ยังวิ่งไล่แจกเงินอย่างคึกคัก
นั่นก็คือ ตระเตรียมงบประมาณเอาไว้เป็นหมื่นๆ ล้านบาทไล่แจกข้าราชการและพนักงานรัฐที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 14,999 บาท คนละ 2,000 บาท
อย่างนี้ยุคพรรคไทยรักไทย ไม่เคยมี
ว่ากันว่า เป็นการทำตามนโยบายของประธานาธิบดียอร์ช บุช ที่ไล่แจกเงินให้ชาวอเมริกันเฉลี่ยแล้วประมาณ 600-1,200 เหรียญเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยอย่างมันมือ
หากในยุคของพรรคไทยรักไทยถือว่าเป็น ประชานิยม การปรากฏขึ้นในยุคของพรรคประชาธิปัตย์ จึงเท่ากับเป็น อภิมหาประชานิยม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สวมวิญญาณ "ซานต้ามาร์ค" แจกจ่ายอย่างสนุกสนานมันมือ
แท้จริงแล้วก็เท่ากับเป็นการยอมรับให้ "ระบอบทักษิณ" มีชีวิตขึ้นมาในอีกโฉมหนึ่งนั่นเอง
ณ วันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ อาจอยู่ในฐานะนำเพราะเป็นแกนกลางของรัฐบาล
แต่หาก พรรคภูมิใจไทย สามารถผนึกพลัง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผสานเข้ากับ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และ นายเนวิน ชิดชอบ
พรรคภูมิใจไทยนี่แหละคือคู่สัประยุทธ์อย่างแท้จริงกับพรรคประชาธิปัตย์