นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ได้ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายของรัฐบาลแก่หัวหน้าส่วนราชการ โดยกล่าวถึงแนวทางจัดทำแผนบริหารราชการแผ่นดินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจว่า นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลใน 1 ปีแรกต้องการที่จะแก้ไขปัญหาหรือคลี่คลายวิกฤติให้ได้ โดยวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้กระทบกับชีวิตจริงและเศรษฐกิจจริงของประชาชน เห็นได้จากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 หดตัว 6.6% ขณะที่ครึ่งปีแรกยังขยายตัว 11.4% ด้านกำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมตอนนี้ลดลงเหลือ 61.2% การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเพียง 1.2% เทียบกับก่อนหน้านี้อยู่ที่ 5.7% การบริโภคก็หดตัว 1.6% เทียบกับครึ่งปีแรกที่ขยายตัว 4.3% การจัดเก็บรายได้หายไป 10% จากที่เคยประมาณการไว้และตัวเลขส่งออกเดือนล่าสุดหดตัวถึง 17.7% จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงถึง 22.4% สิ่งนี้เป็นการบ่งบอกชัดเจนถึงสภาพวิกฤติเศรษฐกิจที่เผชิญอยู่
“เพราะฉะนั้นแนวทางของการแก้ไขปัญหาในขณะนี้คงไม่ต่างกับที่อื่นในโลก สิ่งสำคัญที่สุดคือรักษากำลังซื้อของประชาชนให้มีเงินในกระเป๋าใช้จ่ายให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เพื่อรักษาทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน รวมทั้งการรักษาระดับรายได้ของประชาชน จึงมีความจำเป็นต้องมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ และระยะเวลาการทำงานมีไม่มาก”
สำหรับการจัดทำงบประมาณกลางปี 2552 วงเงิน 100,000 ล้านบาท ต้องใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 2 เดือน หมายความว่า
มาตรการนี้ยังคงไม่สามารถที่จะส่งผล นอกจากในเชิงจิตวิทยาและการสร้างความเชื่อมั่นในทางเศรษฐกิจ จึงต้องมีมาตรการเสริมด้วยการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีเงินที่ค้างหรือรอการอนุมัติอยู่เป็นหลัก 100,000 ล้านบาท รวมทั้งใช้เงินจากธนาคารเฉพาะกิจของรัฐเข้าไปหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจหรือสภาพคล่องในการมีสินเชื่อ ซึ่งแข่งขันกับเวลาและเห็นใจทุกส่วนราชการ แต่มีความจำเป็นจริงๆว่าต้องเดินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเดินได้
ทั้งนี้ ในวันนี้ (7 ม.ค.) ครม.เศรษฐกิจจะเป็นผู้กำหนดกรอบเพื่อที่จะให้หน่วยงานต่างๆ ดูกรอบเพื่อประกอบการจัดทำแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและงบประมาณกลางปีต่อไป และขอให้ส่วนราชการจัดทำแผนบริหารราชการแผ่นดินเข้า ครม.ในวันที่ 13 ม.ค.จะได้ควบคู่ไปกับงบประมาณกลางปีที่จะเสนอ ครม.วันเดียวกัน.