วันนี้ (3 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในปี 2552 ที่รัฐบาลมีเสียงสนับสนุนปริ่มน้ำว่า เป็นเรื่องที่พรรคการเมืองบริหารจัดการได้
และถือว่าเสถียรภาพของรัฐบาลนิ่งพอที่จะทำงานได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญเวลาอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็จะถือเสียงที่ไม่ไว้วางใจเป็นหลัก คือต้องไม่ไว้วางใจเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเมื่อถึงวันที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ยังไม่ทราบว่าตัวเลข ส.ส.ในสภาจะเป็นอย่างไร เพราะยังมีการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. 22 เขตเลือกตั้ง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนดการเมืองในปีนี้ น่าจะอยู่ที่ผลของการบริหารงานเรื่องเศรษฐกิจและสังคม
เพราะต้องยอมรับว่าในครึ่งแรกของปีนี้ เศรษฐกิจยังได้รับผลกระทบแรงมากจากเหตุการณ์หลายอย่างทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะเดียวกันปัญหาความแตกแยกที่เห็นมาตลอดปี 2551 จะให้หายไปกับการขึ้นปีใหม่ คงเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งเหล่านี้ถือเป็นหน้าที่ของตนและรัฐบาลโดยตรง ที่จะต้องบริหารจัดการไม่ให้มาสร้างปัญหาทางการเมือง ดังนั้นขอยืนยันว่าปัญหาภายในรัฐบาลขณะนี้ไม่เป็นปัจจัยที่เป็นปัญหาต่อการทำงาน
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ว่า ถือเป็นหน้าที่ที่จะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือรัฐสภา ต้องได้รับการตรวจสอบ แม้จะคุมเสียงข้างมาก อย่างไรก็ตาม เรื่องสำคัญกว่าคือปัญหาของประชาชน ถึงมีเสียงข้างมาก แต่ถ้าไม่สามารถทำให้เงื่อนไขในสังคมหมดไป ก็อยู่ไม่ได้ ในทางกลับกันเสียงที่น้อย หรือเสียงปริ่มน้ำอย่างที่ว่า แต่ถ้าการทำงานดี ก็ยังมั่นใจว่ายังเป็นหลักประกันที่ดีกว่าสำหรับรัฐบาล
เพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมือง ก็ต้องถือว่ามาก่อนผลประโยชน์ส่วนตัวอยู่แล้ว ซึ่งหากเข้ามาทำงานแล้วทำไม่ได้ ก็ไม่ควรที่จะทำต่อ ถือเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ต้องเข้าใจ และตนได้บอกสิ่งนี้กับคณะรัฐมนตรี ซึ่งตรงนี้จะเป็นตัวกดดันรัฐมนตรีเองในการทำงาน และยืนยันว่าหากมีรัฐมนตรีคนใดปฏิบัติไม่ถูกต้อง ก็พร้อมที่จะปรับออก เพราะหากไม่ปรับ ในที่สุดเสถียรภาพของรัฐบาลก็ต้องมีปัญหาอยู่ดี เรื่องนี้ถือเป็นกติกาที่ได้พูดคุยกันตั้งแต่วันแรกที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรี