ปี 2551 ถือเป็นปีที่เกิดเหตุการณ์ "ที่สุด" ในทางการเมืองหลายเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็น ปีที่ใช้นายกฯเปลืองที่สุดถึง 4 คน นับจาก "พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์-สมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"
ปีที่ม็อบเยอะที่สุด
ปีแห่งการต่อรอง-ขัดแย้ง-แย่งอำนาจแบบสุดสุด
"มติชน" ได้รวบรวมเหตุการณ์ที่เป็นที่สุดแห่งปี ไว้ดังนี้...
๏ ยืดเยื้อที่สุด ๏
ประกาศ "พักรบ" ไปหลังผ่านเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549...กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กลับมารวมพลังกันใหม่ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2551
โดยถือฤกษ์ความไม่ชอบมาพากลในการเร่งแก้รัฐธรรมนูญปี 2550 และออกกฎหมายช่วย "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นใบเบิกทางในการ "ปักธงรบ" ที่เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์
ระหว่างนี้แกนนำ พธม.ใช้ "ยุทธวิธีดาวกระจาย" กดดันหน่วยงานต่างๆ ควบคู่ "ยุทธศาสตร์พระเจ้าตาก" ที่ตีโอบเข้ามาล้อมทำเนียบรัฐบาล
พธม.พุ่งเป้าเอ็กซเรย์การทำงานรัฐบาล "สมัคร สุนทรเวช" จน 2 รัฐมนตรีต้องกระเด็นตกเก้าอี้ด้วย 2 ข้อหาคือ "จักรภพ เพ็ญแข" รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในข้อหาไม่จงรักภักดี และ "นพดล ปัทมะ" รมว.ต่างประเทศ ในข้อหาขายชาติ
ความสำเร็จใน "ยกแรก" นำมาซึ่งความฮึกเหิม มีการประกาศ "สงครามครั้งสุดท้าย" บุกยึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีในช่วงเช้าวันที่ 26 สิงหาคม และยึดทำเนียบรัฐบาลในช่วงเย็นวันเดียวกัน
ทำให้กระแสสังคมเริ่มตีกลับ...9 แกนนำ พธม. ถูกตั้งข้อหากบฏ
ทว่า พธม.กลับดื้อแพ่งปักหลักอยู่ใน "ศูนย์ กลางบริหารราชการแผ่นดิน" ต่อไป กระทั่งรัฐบาลแพ้ภัยตัวเองจากการที่ "สมัคร" ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ลุกจากเก้าอี้นายกฯ ในคดี "ชิมไปบ่นไป"
เป็นอีกครั้งที่ พธม.ประกาศว่าเป็นชัยชนะของตน แต่ยังไม่ยอมยกก้นออกจากทำเนียบ
หลังมีการผ่องถ่ายอำนาจให้รัฐบาล "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" สถานการณ์การชุมนุมของ พธม.มีแต่ "ทรง" กับ "ทรุด"
ทว่ายังหาทางลงให้ตัวเองไม่ได้ จึงมีการวางแผน (ล่อให้) จับ 2 แกนนำคือ "ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์" และ "พล.ต.จำลอง ศรีเมือง" เพื่อใช้เหตุผลดังกล่าวเป็นชนวนเคลื่อนพลเข้าปิดล้อมรัฐสภา
จนนำมาสู่เหตุนองเลือด 7 ตุลาฯ
24 พฤศจิกายน พธม.บุกยึดท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ฯลฯ จนรัฐบาล "สมชาย" ไม่สามารถบริหารอำนาจได้
สุดท้ายสงคราม 2 ขั้วก็สงบลง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบ 3 พรรคการเมือง เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม
แกนนำ พธม.ขึ้นประกาศชัยชนะครั้งสุดท้าย (ของสุดท้าย) ก่อนลดธงรบ ยอมสงบศึกในเวลา 10.00 น. ของวันที่ 3 ธันวาคม
ปิดฉากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อยาวนานถึง 192 วัน!!!
๏ อัปยศที่สุด ๏
7 ตุลาคม 2551 กลายเป็นประวัติศาสตร์อันแสนเศร้าของการเมืองไทยอีกครั้ง หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เพื่อเปิดทางให้รัฐบาล "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" เข้าไปแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา
ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ขาขาด มือขาด แขนขาด อีกกว่า 10 ราย รวมยอดผู้บาดเจ็บ 443 ราย จากการใช้แก๊สน้ำตาจากประเทศจีนที่ว่ากันว่าหมดอายุแล้ว ยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมโดยตรง
รู้ทั้งรู้ว่า พธม.มาปักหลักหน้ารัฐสภาตั้งแต่คืนวันที่ 6 ตุลาคม แต่ ครม.ที่เรียกประชุมด่วนในคืนวันนั้น กลับยืนยันจะมาแถลงนโยบายที่รัฐสภาให้ได้
เป็นผลให้ตำรวจต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเปิดทางให้ "ฝ่ายบริหารมีอำนาจเต็ม" โดย "สมชายกับพวก" เดินเข้าสภาหน้าตาเฉยท่ามกลางกองเลือด ขณะฝ่ายค้านและ ส.ว.กว่าครึ่งบอยคอต ไม่ยอมเข้าร่วมรับฟัง
การแถลงนโยบายรัฐบาลของรัฐบาลเป็นไปอย่างรวดเร็วไม่ถึง 2 ชั่วโมง
"สมชาย" ต้องรีบอ่านคำแถลงด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เพื่อให้จบๆ ไป
แล้วเหตุการณ์ "สุดอัปยศ" ก็เกิดขึ้น เมื่อ พธม.เข้าปิดล้อมทางเข้า-ออกรัฐสภาทุกด้าน ทำให้ "สมชาย" ต้องเผ่นหนีออกจาก "มุมอับ" พร้อม "ชูศักดิ์ ศิรินิล" เลขาธิการนายกฯ "ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์" บุตรสาวนายกฯ และ "พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ" ส.ส.โคราช ด้วยการปีนป่ายออกทางกำแพงฝั่งพระที่นั่งวิมานเมฆ ก่อนออกไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่เตรียมไว้
ตามด้วย ส.ส.อีกกลุ่มใหญ่ที่ไหลออกทางเดียวกัน
ถือเป็นภาพทุลักทุเลเกินบรรยาย
ถือเป็นเหตุการณ์อัปยศแห่งปีของรัฐบาลที่อ้างว่ามาจากประชาชน แต่พยายามรักษาอำนาจของตัวเองบนเลือดเนื้อและชีวิตของเจ้าของอำนาจอธิปไตยตัวจริง!!!
๏ แป้กที่สุด ๏
ท่ามกลางความเคลื่อนไหวทั้งบนดิน-ใต้ดินของ "รัฐบาล VS พันธมิตร" ตลอดปี 2551 "กองทัพ" ยังสงบนิ่งอยู่ในฐานที่มั่นของตน
กระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ถือเป็น "เงื่อนตาย" ของรัฐบาล "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" นั่นคือ การสั่งใช้กำลังตำรวจ "สลายม็อบพันธมิตร" ที่ปิดล้อมรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
เป็นผลให้รัฐบาล "สมชาย" ถูกตั้งคำถามถึง "ความชอบธรรม" ในการบริหารประเทศ พร้อมกดดันให้ "ผู้นำ" แสดงความรับผิดชอบต่อ "เหตุนองเลือด" ที่เกิดขึ้น
แต่ด้วยสถานการณ์การเมืองในขณะนั้น "ยังไม่นิ่ง" ผนวกกับ "ความขัดแย้ง" ยิ่งทวีขึ้น
กระแสสังคมจึงหันไปกดดัน "กองทัพ" ให้ช่วยกดดันรัฐบาลอีกแรง หลังนิ่งเฉยปล่อยให้ "ตำรวจทำร้ายประชาชน"
มีการทวงถาม "จุดยืนแท้จริง" ของ "บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา" ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ากองทัพจะมีส่วนแก้วิกฤตการเมืองอย่างไร?
นำมาสู่ภาพ "ปฏิวัติหน้าจอ" เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม!
ในวันนั้น "แม่ทัพบก" ได้นำ ผบ.เหล่าทัพไปร่วมออกรายการ "เรื่องเด่นเย็นนี้" ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 โดยทิ้งวลีเด็ดให้รัฐบาลรับผิดชอบ "เหตุสลายม็อบ" ว่า "...ถ้าเป็นผมลาออกไปแล้ว ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม..."
ถือเป็นความพยายามของ "บิ๊กป๊อก" ที่ต้องการกดดันให้นายกฯไขก๊อก แก้วิกฤตศรัทธา
ทว่าเป็นข้อเสนอที่ไร้การตอบสนอง ชนิด "กูไม่กลัวมึง" พร้อมกันนี้ยังมีเสียงข่มให้ "ปลด ผบ.ทบ." อืออึ้งจากซีกการเมืองในพรรคพลังประชาชน (พปช.)
และอีกครั้งที่ "พล.อ.อนุพงษ์" ต้องเสียหน้า เมื่อ "อ้างอำนาจ" ประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วม (คตร.) ที่มี "สมชาย" เป็นผู้ลงนามแต่งตั้ง เรียกประชุมหัวหน้าส่วนราชการ นักวิชาการ และนักธุรกิจ ที่กองทัพบก เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน หลังพันธมิตรยึดท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ก่อนมีมติ คตร.เรียกร้องให้นายกฯยุบสภา ส่วน "พันธมิตร" ต้องยุติการชุมนุมทุกพื้นที่
แต่ก็ไร้การตอบรับจากทั้ง "ฝ่ายการเมือง" และ "พันธมิตร" อีกเช่นเคย
ปฏิบัติเหลวที่เกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง ทำให้บารมี "แม่ทัพบก" หดหาย
"บิ๊กป๊อก" ต้อง "แป้ก" ไปไม่เป็นท่า!!!
๏ ช็อคที่สุด ๏
ใครเลยจะเชื่อว่าบุรุษที่มักประกาศอยู่เสมอว่า "ภริยา" คือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จอย่าง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี จะตัดสินใจหย่าขาดกับ "คุณหญิงพจมาน" ที่สถานกงสุลไทยในเกาะฮ่องกง ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน
ถือเป็นการปิดฉากรักที่ยาวนานกว่า 32 ปี
การแยกทางกันอย่างเป็นทางการของอดีตผู้นำประเทศครั้งนี้ สร้างความแตกตื่นให้กับคนรอบตัวอย่างมาก เพราะแทบทุกการตัดสินใจนัดสำคัญ ไอเดียจาก "คุณหญิงอ้อ" มักมีอิทธิพลต่อกรอบความคิด "สามี" เสมอ
ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ที่ทำให้ความคิดของคนทั้งคู่ต้องปะทะกันอย่างหนัก นั่นคือ พฤติกรรม "เสพติดการเมือง" ชนิดถอนตัวไม่ขึ้นของ "พ.ต.ท.ทักษิณ"
ทั้งที่ "พิษการเมือง" ทำให้ครอบครัว "ชินวัตร" ไม่มีแผ่นดินอยู่ ต้องระหกระเหเร่ไปอยู่ต่างประเทศมากว่า 2 ปีแล้วก็ตาม แต่ พ.ต.ท.ทักษิณยังคงช่วยสนับสนุนจุนเจือ พร้อมกับกำหนด ยุทธศาสตร์การเดินเกมของพรรคพลังประชาชน (พปช.) อยู่ตลอด
ประจวบเหมาะกับกรณีที่ทางการอังกฤษเพิกถอนหนังสือเดินทางทูต (พาสปอร์ตเล่มแดง) เข้า 2 สามีภริยา
ว่ากันว่าเป็น "ฟางเส้นสุดท้าย" ที่ "คุณหญิงอ้อ" เอ่ยปากขอหย่าจาก "พ.ต.ท.ทักษิณ"!!!
อย่างไรก็ดี คอการเมืองตัวจริงเสียงจริง ต่างวิเคราะห์กันว่า การหย่าร้างที่เกิดขึ้นน่าจะมี "วาระซ่อนเร้น" แฝงอยู่ โดยใช้กลยุทธ์ "แยกกันเดินรวมกันตี"
อันดับแรกเป็นการแบ่งสินสมรสเพื่อให้ "คุณหญิงพจมาน" นำทรัพย์สินครึ่งหนึ่งไปใช้เลี้ยงบุตรและประกอบธุรกิจส่วนตัว
ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง "พ.ต.ท.ทักษิณ" จะนำไปใช้ในการต่อสู้ทางการเมือง
เพราะทันทีที่ 2 สามีภริยาหย่าขาดจากกัน ย่อมเท่ากับว่าคนทั้งคู่ไม่มีความผูกพันร่วมกันทางกฎหมาย
ดังนั้น ไม่ว่า "คุณหญิงพจมาน" จะเคลื่อนไหวทางธุรกิจ การเมือง หรืออะไร ย่อมไม่โยงใยไปถึง "พ.ต.ท.ทักษิณ"
ในทำนองเดียวกัน หาก "พ.ต.ท.ทักษิณ" ประกาศ "สู้" และขอ "เอาคืน" อย่างเต็มรูปแบบ ครอบครัวทั้งหมดก็น่าจะปลอดภัยจากผลที่จะตามมาในทุกรูปแบบ
หลังการหย่าร้างไม่นาน "คุณหญิงพจมาน" ได้เดินทางกลับประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย และเปลี่ยนมาใช้นามสกุลเดิม "ดามาพงศ์" เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม
ในทุกกระบวนท่าของชายผู้ฆาตแค้น-หญิงทรงพลัง" เป็นเหตุการณ์สุดช็อคแห่งปี และต้องรอดูผลที่จะตามมาจากอาฟเตอร์ช็อคครั้งนี้!!!
๏ ฉาวที่สุด ๏
เป็นเรื่องราว "ฉาว" และ "โฉ่" ที่สุดของการเมืองไทยในปี 2551 ที่ผ่านมาก็ว่าได้
กับ "คลิป" คนหน้าเหมือน ซึ่ง "สมศักดิ์ โกศัยสุข" แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) นำมาเปิดให้กลุ่มชุมนุมดูกลางเวทีกลางทำเนียบรัฐบาล ในเดือนตุลาคม
จนกลายเป็นเรื่องเล่าขาน ซุบซิบต่อๆ กันไปทั่วทุกวงการ
เนื่องจากภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏใน "คลิป" ดูละม้ายคล้ายคลึงกับ "นักการเมืองใหญ่" ในรัฐบาลนาม "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
โดยกิจกรรมภายใน "คลิป" ประกอบด้วย การขับรถนำสาวรูปร่างเจ้าเนื้อไปตามสถานที่ต่างๆ ทั้งรับประทานอาหาร ช็อปปิ้ง ซื้อตู้เย็นที่โฮมโปร ฯลฯ
โดยเฉพาะการขับเบนซ์คันงามพาสาวเจ้าเลี้ยวเข้าโรงแรมม่านรูดที่ชื่อ "เวสตอิน" กลางวันแสกๆ โดยมีเลขบันทึกหน้ากล้องระบุปีที่ทำการบันทึกในปี 2549
"คลิป" ที่ว่านี้ ได้ถูกนำไปโพสต์ต่อในเว็บไซต์ผู้จัดการ และตามเว็บไซต์อื่นๆ อีกมาก เรียกได้ว่าระบาดหนัก ไปที่ไหน เจอใคร ก็มักถามติดปากกันว่า "ดูรึยัง?"
แต่ก็ยังไม่เคยมีคำปริปากใดๆ ถึง "คลิปฉาว" หลุดจากปาก "สมชาย" นอกเสียจากการออกมายอมรับว่า มีบางส่วนใน "คลิป" เท่านั้นที่หน้าเหมือน!!!
๏ เจื่อนที่สุด ๏
แม้ได้รับการขนานนามว่าเป็น "ศิษย์เอก" ของ "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช" อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคกิจสังคม แต่หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขา ทำให้ภาพ "เก๋าการเมือง" นาม "สุวิทย์ คุณกิตติ" อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) กลายเป็น "ตลกการเมือง"
29 กรกฎาคม "สุวิทย์" ขณะเป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.อุตสาหกรรม ประกาศนำ พผ.ถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล "สมัคร"
โดยยกเหตุผล "หน้าฉาก" ว่ารับไม่ได้ที่จะตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา "ขายชาติ" ร่วมกับ ครม.อีก 35 ชีวิต กรณีสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
ทว่า "วาระหลังฉาก" คือไม่อยากเสียหน้าที่ถูก "สมัคร" ขับพ้นรัฐบาลในการปรับ ครม. "สมัคร 4" หลังบิ๊กเนมจากพรรคพลังประชาชน (พปช.) ลงมติไม่ไว้วางใจ "สุวิทย์" เนื่องจากรอดพ้นจากเงื้อมมือ "พันธมิตร" ที่ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบปมเขาพระวิหารเพียงคนเดียว
เป็นผลให้เกิดเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าจงใจปล่อยให้รองนายกฯคนที่ 5 ข้ามห้วยมาเป็นรักษาการนายกฯหรือไม่?
แต่สุดท้ายก็เป็น "สุวิทย์" ที่ต้องเก็บกระเป๋าออกจากทำเนียบเพียงลำพัง เพราะรัฐมนตรีและ ส.ส.พผ.ที่เหลือไม่ยอมหลุดจากวังวนแห่งอำนาจไปด้วย
มีการเปิดแถลงข่าวตอบโต้ "มติมั่ว" ของหัวหน้าพรรคแบบทันทีทันควัน พร้อมยืนยันในสถานภาพ "พรรคร่วมรัฐบาล"
ถือเป็นการฉีกหน้า "สุวิทย์" แบบเต็มๆ
กระทั่งอำนาจไหลไปอยู่ในมือรัฐบาล "สมชาย" ชื่อ "สุวิทย์" วกกลับมาอยู่ในโผ ครม.อีกครั้ง
แต่ด้วยผล "กรรม" ที่กระทำไว้ในอดีต ทำให้มี "ใบสั่งจากแดนไกล" ให้กาชื่อ "สุวิทย์" ทิ้ง
ทำให้เขากลายเป็นคนตกงานไปโดยปริยาย
ในสุดท้ายก็เป็น "สุวิทย์" นั่นเองที่อดรนทนไม่ได้ ต้องลาออกจากตำแหน่งหัวหน้า พผ. ในวันที่ 30 ตุลาคม
ถือเป็นการยุติบท "โจ๊กการเมือง" ที่ทั้ง "เจื่อน-จ๋อย" แบบสุดสุด!!!
๏ เจ็บปวดที่สุด ๏
"สมัคร สุนทรเวช" ในวัย 72 ปี ได้รับการทาบทามจาก "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ให้เข้ามาถือธงนำพรรคพลังประชาชน (พปช.) สู้ศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ฟันฝ่าอุปสรรคทุกรูปแบบ จนสามารถขน ส.ส.เข้าสภาได้ถึง 233 คน
เป็นผลให้ พปช.ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
ส่วน "หัวเรือใหญ่" ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 เป็นรางวัล
แต่การขึ้นเป็น "นายกรัฐมนตรี" ไม่ได้สร้างความสุขให้ "ขุนศึกฝั่งพระนคร" เท่าใดนัก เพราะตลอดห้วงเวลาที่นั่งเก้าอี้ เขาถูกโจมตีจากทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ประวัติเปื้อนเลือดจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
ทำคลอด "ครม.ขี้เหร่" ที่คล้ายกับว่าฝีมือไม่ถึงที่จะเข้ามาบริหารประเทศ
และยังต้องรับมือกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พปช.) ที่ปลุกระดม "มวลชน" โค่นล้ม "รัฐบาลนอมินี" กลางเมือง
นอกจากต้องรับ "ศึกนอก" แล้ว "นอมินีรุ่นดึก" ยังเจอ "คนกันเอง" เปิด "ศึกใน" สาวไส้กันเอง
โดยเฉพาะเมื่อมีการ "รวมการเฉพาะกิจ" ของ "หมัก-โป๋-เลี้ยบ-ห้อย" ในนาม "แก๊งออฟโฟร์" คอยโชว์ "เพาเวอร์" คับพรรคและรัฐบาล
สุดท้ายจึงเป็น "คนใน" พปช.นั่นเองที่ช่วยกันลงขันกันฆ่า "สมัคร" กลางสภา ไม่ให้กลับขึ้นมาเป็นนายกฯอีกคำรบหนึ่ง หลังถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีเป็นลูกจ้างจัดรายการ "ชิมไปบ่นไป" เมื่อวันที่ 9 กันยายน
แม้ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" ที่มี ส.ส.73 ชีวิต จะประกาศหิ้ว "สมัคร" เข้าทำเนียบอีกครั้ง แต่ถูก "กลุ่มเพื่อนยงยุทธ-เจ๊แดง-เจ๊หน่อย-น้าเหลิม" ผนึกกำลังกันสกัดด้วยสารพัดวิธี
ถึงขั้นโทร.ล็อบบี้พรรคร่วมรัฐบาลให้ "กระโดดร่มหมู่" โดยให้เหตุผลสวยหรูว่าไม่ต้องการให้ประเทศประสบวิบากกรรมซ้ำซาก
ทั้งที่ความจริงแล้ว คนการเมืองเหล่านี้ต้องการแปลงวิกฤต "สมัคร" เป็นโอกาสสลัดอำนาจมืดของ "เนวิน"
ในที่สุดการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อลงมติเลือกนายกฯในเวลา 09.30 น. ของวันที่ 12 กันยายน ก็ล่มลงไม่เป็นท่า
ชีวิตการเมืองของ "สมัคร" ปิดฉากลงทันที
"เฒ่าผู้ชอกช้ำ" ขอยุติการเป็นประมุขฝ่ายบริหารในเวลาเพียง 7 เดือน 11 วัน
ทิ้งวาทะสุดท้ายกับ "แฟนานุแฟน" ว่า "...ไม่เอาแล้ว มันน่าอาย..."!!!
๏ ป่วนที่สุด ๏
"ป่วนที่สุดแห่งปี" ต้องยกให้ "โฟนอิน" ของ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วงหัวค่ำของคืนวันที่ 1 พฤศจิกายน
โดย "ทักษิณ" ได้เปิดใจสดๆ เป็นครั้งแรก สายตรงจากต่างแดนถึงมิตรรัก แฟนคลับ มวลชนคนเสื้อแดง เกินกว่าครึ่งแสนล้น "สนามราชมังคลากีฬาสถาน" ให้หายคิดถึง
ภายใต้ชื่องานว่า "ความจริงวันนี้สัญจร" ซึ่งอำนวยการสร้างและการกำกับโดย "วีระ มุสิกพงศ์-จตุพร พรหมพันธุ์ -ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" เจ้าของฉายา "สามเกลอหัวขวด"
ในวันนั้นได้ปรากฏให้เห็นพลังของ "คนรักทักษิณ" ที่พร้อมใจกันใส่เสื้อแดงมาร่วมนั่งเต็มอัฒจันทร์
จนเวลา 21.00 น. ที่รอคอยก็มาถึง "วีระ" ได้ต่อสายชงคำถามให้ "ทักษิณ" ตบสไตล์ "ปะ ฉะ ดะ" ในวาระที่ไม่มีทางเลือกถึงกระบวนการยุติธรรมของไทยที่ "ยุติธรรมความเป็นธรรม"
พร้อมออดอ้อนมวลชน "คนรักแม้ว" ให้หายคิดถึงว่า "พี่น้องครับ ไม่มีใครที่จะเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอกครับ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็ด้วยพลังของพี่น้องประชาชนเท่านั้น จริงไหมครับ"
แถม "วีระ" ยังหยอดกลับไปยังนายใหญ่ว่ามีศัพท์คำหนึ่งค่อนข้างกินใจ ทำให้ต้องนึกถึงความร่วมมือระหว่างสถาบันสูงสุดบวกพลังรากหญ้ารวมกันว่า "ราชประชาสมาศัย"
พูดจบปั๊บ ทำ "ทักษิณ" ขนลุก และประกาศให้พี่น้องแฟนคลับได้ยินกันดังๆ ว่า "เย็นศิระพระบริบาลฯ แหละครับ"
ปรากฏการณ์ "โฟนอิน" ที่เกิดขึ้นสร้างความ "ป่วน" ไม่น้อย ท่ามกลางความวุ่นวายของบ้านเมืองที่ยังคงขัดแย้งอยู่ โดยกลุ่ม "คนเสื้อเหลือง" ก็ยังไม่ยุติชุมนุม และยังก่อกระแสให้กลุ่ม "คนเสื้อแดง" แห่ง "นปช." เริ่มออกมายืดเส้นยืดสาย
ราวกับว่า "สงครามประชาชน" จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า!!!
๏ เสื่อมที่สุด ๏
คำประกาศของ "สนธิ ลิ้มทองกุล" แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กลางเวทีในทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ที่ว่า "...มีคนใจชั่วร่วมมือกับคนบางคนในสำนักพระราชวัง ทำหมุด 6 เหลี่ยม ฝังอยู่ที่รอบพระบรมรูปทรงม้า 6 จุด เพื่อสะกดไม่ให้เสด็จพ่อทรงพลัง..."
"...ต่อมามีผู้ทรงศีลของ พธม.นำหมุดเหล่านั้นออก และนำ "โกเต๊ก" เปื้อนประจำเดือนของหญิงที่มาร่วมชุมนุมกับ พธม. จำนวน 6 ชิ้น ไปวางตามจุดที่เอาหมุดออกทั้ง 6 จุด เพื่อคลายมนต์สะกด..."
สร้างความเสื่อมให้แก่ "ม็อบเสื้อเหลือง" ถึงขีดสุด
เหตุเพราะเป็นการดึง "ความศรัทธา" ในการต่อสู้เพื่อล้าง "ระบอบทักษิณ" ให้ลงต่ำ และนำ "ความเชื่อ" ทางไสยศาสตร์มาเป็นธงนำในการปลุกระดมมวลชนที่อ้างว่าเป็นพวกรักประชาธิปไตย
"อริถาวร" อย่าง "แก๊งสามเกลอหัวแข็ง" รีบคว้าความเพลี่ยงพล้ำที่เกิดขึ้น มาขยายผลเปิดโปงพฤติกรรมด้านมืดของ พธม.อย่างทันทีทันควัน ผ่านรายการ "ความจริงวันนี้"
ยังไม่รวมพฤติกรรมทำตัวเป็นศาสดาของ "ลัทธิประหลาด" นุ่งขาวห่มขาว ยืนประพรมน้ำมนต์ให้ผู้ชุมนุมในทำเนียบนั่งไหว้ปลกๆ อีก
ทั้งวาทะและพฤติกรรมของ "โกตั๊บ" ทำให้ พธม.ถูกขนานนามเป็น "ม็อบโกเต๊ก" ในชั่วข้ามคืน!!!
๏ โหนที่สุด ๏
หมดยุค "เสือ-สิงห์-กระทิง-แรด" ครองอำนาจ จากนี้ไปเป็นยุคทองของ "คนปีลิง" ผู้นิยม "ห้อยโหน" และโหน "ห้อย" จนได้ดิบได้ดีไปถ้วนหน้า
ประมวลเหตุการณ์ในรอบปี มติเอกฉันท์สมควรให้รางวัลกับ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี และสมาชิกค่ายแม่พระธรณีบีบมวยผม เป็น "ชาวเกาะ" กระแสดีเด่นแห่งปี
ด้วยวีรกรรมเสมอต้นเสมอปลาย นับแต่ในการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ขอเกาะกระแสคณะมนตรีความมั่นคง แห่งชาติ (คมช.)
แต่ท้ายสุดก็พ่ายพรรคพลังประชาชน (พปช.) ด้วยคะแนน 164-233 เสียง
ต่อมาเมื่อกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ฟื้นชีพในเดือนพฤษภาคม 2551 พลพรรคค่ายสะตอก็เกาะติดมวลชน "คนเสื้อเหลือง" แบบก้าวต่อก้าว นับจากกรณี "จักรภพ เพ็ญแข" อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หมิ่นเบื้องสูง ที่ "หัวขบวน ปชป." ช่วยตั้งสมญาต่อให้ว่า "รมต.ที่มีทัศนคติอันตราย"
กรณีปราสาทพระวิหาร ที่ ปชป.เพิ่งออกแอ๊คชั่นหลังแกนนำ พธม.หยิบยกปม "ขายชาติ" โจมตีรัฐบาลบน "เวทีเสื้อเหลือง"
กรณี 7 ตุลาฯเลือด ที่ ส.ส.ปชป.แห่ให้กำลังใจ "พันธมิตรเพื่อประชาธิปัตย์" ถึงทำเนียบ
รวมถึงการประกาศสงครามครั้งสุดท้ายของ พธม. เพื่อขับไล่รัฐบาล "สมชาย" ด้วยการบุกยึดสนามบิน ที่คน ปชป.ช่วยกันก่นด่ารัฐบาลรายวัน พร้อมเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในบ้านเมืองไม่ได้
ทว่าไม่เคยมีใครปริปากด่า "ม็อบเสื้อเหลือง" แม้แต่รายเดียว
เท่านั้นยังไม่พอ ในช่วงที่คน พปช.กำลังชุลมุนกับการเปิดศึก "เลือดแท้-เลือดเทียม" ระหว่างการโหวตเลือกนายกฯคนใหม่แทน "สมัคร สุนทรเวช" โดยมีเครือข่าย "เพื่อนยงยุทธ" และพรรคร่วมรัฐบาลล็อบบี้กันไม่เข้าร่วมประชุมสภา
ปชป.ได้ชิงจังหวะยัดชื่อ "อภิสิทธิ์" ขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกฯ กลาง "สภาร้าว" กะส้มหล่นเต็มที่
เคราะห์ดีที่ "ชัย ชิดชอบ" ประธานสภา แก้เกมทัน ชิงปิดสภาหนีเสียก่อน
ทำเอา "บรรหาร ศิลปอาชา" หัวหน้าพรรคชาติไทย ถึงกับเดือดปุดๆ กับ "สันดานเก่า" ของพวกสะตอ ก่อนอุทานว่า "หวานคอแร้ง"
แต่ท้ายที่สุด ปชป.ก็ถึงฝั่งฝัน (เสียที) ได้เข้ามาจัดรัฐบาลใหม่แทนพรรคเพื่อไทย ด้วยการโหนกระแส "ตุลาการภิวัตน์" และ "ปฏิวัติซ่อนรูป"
งานนี้ได้เป็นรัฐบาลเพราะการโหน-ห้อยเกาะเกี่ยวเขาไปทั่ว ทั้ง "สีเหลือง-สีเขียว-สีเทา (กลุ่มทุน)"!!!