ท่านเคยพยายามสร้างภาพให้ดูเหมือนเป็นผู้เชี่ยวชาญโทรคมนาคมในเมืองไทย แต่ที่แท้ เป็นผู้เชี่ยวชาญการให้สินบนซื้ออำนาจรัฐเอื้อธุรกิจโทรคมนาคมในไทย เมื่อไปลงทุนชินอินเตอร์ในต่างประเทศ ก็ล้มเหลวสิ้นเชิงเช่นกัน !
วันที่ 26 ธันวาคม 2551 หนังสือพิมพ์เสตรทไทม์ (THE STRAITS TIMES) ของสิงคโปร์ ตามลิงค์ http://www.straitstimes.com/Breaking%2BNews/SE%2BAsia/Story/STIStory_318574.htmlได้นำเสนอ Breaking News SE Asia ซึ่งเริ่มต้นเรื่องว่า
“อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตรผู้เป็นที่เชื่อว่ามีทรัพย์สินกว่า 5 พันล้านเหรียญ (1.75 แสนล้านบาท !) ในต่างประเทศ ตอนที่ตลาดหุ้นอยู่ในระดับสูง ราคาน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 140 เหรียญ/บาเรล และราคาอสังหาริมทรัพย์ขึ้นทุกวัน แต่การเกิดวิกฤตการเงิน เศรษฐกิจลูกโป่งแตก และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำ ทำให้เชื่อว่า สินทรัพย์หลักของทักษิณ น่าตกลงมาเหลือเพียงไม่เกิน 500 ล้านเหรียญ (1.75 หมื่นล้านบาท !)
“EX-PRIME minister Thaksin Shinawatra was believed to have $5 billion (S$7.2 billion) of overseas assets in nominal value as stock markets were peaking, oil was trading at US$140 a barrel and Middle East real estate was going up every day. But with the collapse of the global financial markets and the commodity prices, Thaksin′s core money is now believed to be worth not more than US$500 million.”
เมื่อถอดรหัสข่าวนี้แล้ว มีประเด็นที่น่าสนใจหลายประการ ดังนี้
1.ข่าวสินทรัพย์ที่ทักษิณซ่อนไว้ในต่างประเทศนับแสนล้านบาท นี้น่าเชื่อถือ ด้วยสอดคล้องกับที่ Arabian-business.com ได้รายงานข่าวที่เลื่องลือว่า อังกฤษได้อายัดเงินของทักษิณประมาณ 4 พันล้านเหรียญ ซึ่งเสตรทไทม์เองก็ยังตั้งข้อสังเกตว่า เวลาผ่านมานานนับเดือน แต่ไม่มีใครออกมาแก้ไขข่าวดังกล่าว
2.ทักษิณยังคงทำผิดรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆที่ทักษิณ เคยได้รับความเมตตาจากศาลรัฐธรรมนูญในช่วงปี 2543-2544 เรื่องการ “ซุกหุ้น” ในชื่อคนรถ คนใช้ ยาม โดยยอมรับประเด็น “บกพร่องโดยสุจริต” แต่กลับยังซุกซ่อนทรัพย์สินมหาศาล นับหมื่นๆแสนๆล้านบาท อันเป็นการผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 (ซึ่งท่านต้องยึดถือ) อย่างซ้ำซาก โดยไม่รู้สำนึก ทำให้เชื่อได้ว่า การซุกหุ้นผ่าน วินมาร์ค แอมเพิลริช ลูกๆ บรรณพจน์ และ ยิ่งลักษณ์ ก็เป็นเพียงโนมินีรุ่นใหม่เท่านั้น ด้วยมีหลักฐานที่ผิดปกติมากมาย ตามที่เป็นข่าว และเมื่อโอนผ่านประไหมสุหรี ไปซื้อสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้แล้ว ก็ไม่ปรากฏชื่อโนมินีทั้งหลาย ผู้โอนเงินค่าขายหุ้นSHIN มาให้เป็นผู้ซื้อแต่อย่างใด มีแต่ชื่อท่านเท่านั้น
3.ทักษิณทำธุรกิจสุจริตไม่เป็น หากไม่มีอำนาจรัฐเอื้อธุรกิจพิเศษ ก็จะขาดทุนซ้ำซาก ทักษิณหลงลงทุนน้ำมันยามแพง สินค้าโภคภัณฑ์ทั้งข้าวและทองคำ ตามกระแส และลงทุนอสังหาริมทรัพย์แบบเป่าลูกโป่ง คือกู้เกินตัว ลงทุนเกินตัว จนทุนอาจหมดสิ้นได้ โดยแหล่งข่าวได้บอกว่า
“Also, I was told by Adnan Khashoggi’s people in Dubai and Abu Dhabi that the huge investment in new condo buildings in the Gulf is at risk of being wiped out since it was loaded with bank debt.”
ทำให้สะท้อนใจว่า หากไม่มีอำนาจรัฐเอื้อ การทำธุรกิจของทักษิณก็ราวกับเด็กๆ ไม่รู้จักหลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” กู้เงินเกินตัว ลงทุนเกินตัว ลงทุนด้วยความโลภแม้ยามลูกโป่งพองตัว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ
ท่านเคยพยายามสร้างภาพให้ดูเหมือนเป็นผู้เชี่ยวชาญโทรคมนาคมในเมืองไทย แต่ที่แท้ เป็นผู้เชี่ยวชาญการให้สินบนซื้ออำนาจรัฐเอื้อธุรกิจโทรคมนาคมในไทย เมื่อไปลงทุนชินอินเตอร์ในต่างประเทศ ก็ล้มเหลวสิ้นเชิงเช่นกัน !
ตามข่าวมีการซื้อข้าวด้วยสัญญาล่วงหน้า ไม่แน่ ช่วงที่พานายทุนตะวันออกกลางเข้ามา ก็หวังเอาอำนาจรัฐ ผูกขาดข้าวไทย
และหวังทำกำไรจากการซื้อสัญญาข้าวล่วงหน้าไว้ในต่างประเทศก็อาจเป็นได้ ไม่แน่ว่า นโยบายรัฐบาลโนมินีที่จำนำข้าว พยุงราคาข้าว ก็อาจจะเพื่อการทำกำไรตรงนี้ โดยรัฐบาลต้องซื้อข้าวแพงเพื่อพยุงราคา และตนไปทำกำไรจากรายการข้าวล่วงหน้าในต่างประเทศ
ดูเหมือนอยากทำกำไรง่ายๆเหมือนการทำกำไรค่าเงิน เมื่อปี 2540 ซึ่งทนง พิทยะ มาเป็นรัฐมนตรีคลัง โดยอาจมีการส่งเงินไปต่างประเทศในช่วงก่อนลอยตัวค่าเงิน หากทำให้เนียน ก็อาจให้คุณหญิงโอนเงินผ่านรายการหุ้นในบัญชีบรรณพจน์ ดามาพงศ์ช่วงก่อนกรกฎาคม 2540 คล้ายๆกรณีซื้อหุ้นจากดวงตา วงศ์ภักดีก็ได้ แล้วยิ่งทุบบาท ตัวเองก็ยิ่งกำไรมากในต่างประเทศ
คนไทยขาดทุน รัฐบาลไทยขาดทุนมหาศาล รวยอยู่คนเดียว เหมือนที่ นายเสนาะ เทียนทองได้เปิดโปงไว้เมื่อต้นปี 2549 บนเวทีพันธมิตร และไม่เคยถูกฟ้องหมิ่นประมาท
ถอดรหัส พ.ต.ท.ทักษิณ ขาดทุนยับ ถูกอายัดทรัพย์ : “มันจบแล้วครับนาย”
4.โชคดีของประเทศไทย ที่ช่วงเศรษฐกิจโลกกำลัง “เป่าลูกโป่ง” เราไม่ได้ “ทักษิณ นักเป่าลูกโป่ง” มาบริหารบ้านเมือง ทักษิณบริหารเงินตัวเอง ก็ยังหลงโลภไปกับจังหวะลูกโป่งพองตัวของโลก กู้เงินเกินตัว ลงทุนเกินตัว ใช้จ่ายเกินตัว (แม้อาจจะไม่เกินเมื่อเทียบกับเงินที่ท่านโกงชาติไป) หากปล่อยให้ท่านพาประเทศก่อหนี้เกินตัวไปด้วย พาชาวบ้านรากหญ้าก่อหนี้เกินตัวไปด้วยในช่วงที่ผ่านมา บ้านเมืองเราคงวิบัติไปแล้ว จะว่าไป ต้องชมรัฐบาลเศรษฐกิจพอเพียงอีกครั้งที่ช่วยให้ประเทศไทยไม่วิกฤตตามวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในครั้งนี้
5.โชคร้ายของประเทศไทย ที่ “ทักษิณ” ยังไม่ยอมจบสักที หนังสือพิมพ์เสตรทไทม์ ยังได้เปิดโปงว่า ที่หย่ากับภรรยา ก็เพื่อให้กลับมาหาทางติดตามเอาทรัพย์สินในเมืองไทยที่ถูกอายัดไว้คืน แต่จริงๆแล้ว เขาไม่ทราบเท่าคนไทยว่า จังหวะที่มา พอดีๆกับช่วงต้องมาหาทางประสาน ส.ส. ไม่ให้แตกแถว
แต่เมืองไทยยังโชคดี ที่ ส.ส. กลุ่มเพื่อนเนวิน กว่า 30 คน ได้สำนึกว่า ทำไมเราต้องตกเป็นทาสทักษิณ ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด หวังแต่จะยึดอำนาจรัฐไว้ และสร้างความปั่นป่วนแตกแยกในบ้านเมือง เพียงเพื่อปกปิดความผิดของตัว แทนที่จะสู้คดีในศาลอย่างถูกต้อง
แต่ที่สุดแล้ว คงเป็นเพราะ ท่านและภรรยาสำนึกได้ว่า ทำมาหากินในประเทศไหน ก็ไม่หมูเท่าที่เมืองไทยอีกแล้ว
เมื่อยึดอำนาจได้ ทำธุรกิจอะไรก็ง่าย โทรคมนาคม จะลดส่วนแบ่งรายได้รัฐ เพิ่มส่วนแบ่งของตัวก็ได้ ประมูลสัมปทานมาแบบ Built-Transfer-Operate ที่เหมือนสิทธิการเช่ามาหาประโยชน์ 30 ปี จะหาวิธียกเลิกและยึดไว้เช่น การแปลงเป็นภาษีสรรพสามิต และการโอนลูกค้าไปเครือข่ายใหม่ก็ทำได้ รัฐธรรมนูญห้ามถือหุ้นสัมปทาน ก็เอาไปซ่อนในชื่อคนใกล้ชิด และกองทุนลับต่างประเทศได้
จะลงทุน 3 จีก็ให้ภาษีบริษัทในตลาดฯ โดยบริษัททั่วไปในตลาดฯไม่ต้องรู้กันก็ได้ จะลงทุนเครื่องบินไทยแอร์เอเชีย ก็ให้สิทธิประโยชน์ภาษีอ้างเสริมการลงทุน ทั้งๆที่เป็นการนำเข้า จึงไม่ได้เพิ่มจีดีพี แทนที่จะส่งเสริมการลงทุนที่ใช้ทรัพยากรในประเทศ เป็นรายได้ของคนไทย เป็นกลุ่มพิเศษที่หาเรื่องไม่จ่ายภาษีได้อยู่กลุ่มเดียว
ทำธุรกิจอสังหาฯในตะวันออกกลางแผ่นดินทองก็ยังขาดทุนอาจหมดตัว ก็มันไม่ง่ายเหมือนมาซื้อที่ดินรัชดาฯ ประมูลรอบแรก
มีคนจ่ายมัดจำแล้ว 3 ราย ก็กลับไม่มีใครยื่นซองเลยได้ ลดราคากลางได้ ขึ้นค่ามัดจำรอบใหม่ได้ ภรรยาซื้อได้แล้วก็เปลี่ยนแปลงข้อจำกัดความสูงของอาคารได้ มันหมูกว่าโครงการที่ตะวันออกกลางมาก จึงดิ้นรนทุกวิถีทาง ต้องกลับมายึดอำนาจใหม่ให้ได้ เริ่มต้นทำธุรกิจการเมืองใหม่ ไม่ยอมจบสักที
จริงๆแล้ว ที่เนวินบอกกับทักษิณว่า “มันจบแล้วครับนาย” น่าจะเข้าหูทักษิณเร็วกว่านี้ ถ้าท่านไม่โลภอย่างนี้ ถ้าท่านยังมีความรักต่อแผ่นดินแม่มากกว่านี้ ท่านก็คงไม่ต้องดิ้นรนไปซื้อทีมแมนเชสเตอร์ซิตี้ เพื่อสร้างพื้นที่ข่าว ทั้งในไทยและในเวทีโลก โดยท่านทำให้ดูเหมือนว่า ซื้อมา 70 ล้านปอนด์ ขายไปได้ 150 ล้านปอนด์ แล้วให้พรรคพวกยกย่องว่า เห็นไหม เก่งอีกแล้ว ทำทีมฟุตบอลก็กำไร ทำอะไรก็ดีไปหมด
ตามข่าวเสตรทไทม์ครั้งนี้ เปิดโปงว่า ท่านได้ลงทุน รวมกับซื้อนักกีฬาเป็นเงินถึงกว่า 200 ล้านปอนด์ ! และจากการตรวจสอบที่มาของเงิน ผ่าน คุณ ′Phairoj P′ ไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ จึงทำให้บัญชีโนมินีต่างๆของท่าน ถึง 25-30 บัญชี ต้องถูกแช่แข็ง ดังในข่าวที่ว่า
′All the frozen assets are under nominee names. He has been using 20 to 25 offshore companies for financial transactions, including two major Swiss banks and three private banks in Geneva,′
และหากท่านในฐานะที่เป็นคนไทย ระลึกถึงพระคุณแผ่นดินบ้าง ระลึกถึงคำสอน “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยทุกหมู่ทุกเหล่าทุกฝ่ายทุกๆคน หากท่านไม่พยายามสร้างภาพว่า ต้องเป็นคนทันสมัย เป็นคนโลกาภิวัฒน์ ท่านก็คงไม่ลงทุนเกินตัว หรือกู้เงินเกินตัว โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และจะไม่พาตัวสู่วิบัติเช่นนี้
ข่าวครั้งนี้ มีรายละเอียดน่าเชื่อถือมากกว่าครั้งสื่ออาหรับ เพราะสิงคโปร์รู้จักอดีตนายกฯ ทักษิณดี และมีบัญชีที่ทักษิณใช้อยู่ไม่น้อย
เช่น ยูบีเอส สิงคโปร์ ซึ่งดูแลบัญชีแอมเพิลริช และวินมาร์ค เป็นต้น จึงหวังว่า เมื่อท่านน่าจะต้องยอมจำนนแล้วว่า ท่านคงไม่สามารถลวงคนทั้งโลกได้อีกต่อไปว่า ท่านเป็นนักธุรกิจคนเก่ง “รวยแล้วไม่โกง” ก็หวังว่า ท่านจะได้ยอมรับฟังคำแนะนำของลูกน้องผู้เตือนท่านด้วยความรักว่า “มันจบแล้วครับนาย” และหาทางชีวิตที่เหลือในทางชอบธรรม เพื่อไถ่บาปของท่านที่ทำต่อแผ่นดินไทยเสียทีเถอะครับ
แล้วท่านจะกลับมามีสันติสุขในชีวิตในบั้นปลายได้ครับ