ปชป. จะอยู่หรือจะยุบ !!!

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการประชุมแกนนำและทีมกฎหมายของพรรค เพื่อพิจารณาถึงข้อมูลตามข่าวที่อัยการสูงสุดส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ ภายหลังการประชุม นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ที่ประชุมได้พิจารณาถึงข้อมูล ข่าวต่างๆ ในกรณีที่อัยการสูงสุดส่งเรื่องการยุบพรรคไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ เชื่อมั่นว่าถ้าเป็นไปตามที่ปรากฏเป็นข่าวที่มีข้อกล่าวหา 3 ข้อ พรรคไม่มีอะไรที่รู้สึกหนักใจและมั่นใจว่าจะสามารถไปชี้แจงและหลุดพ้นจากการถูกยุบพรรคได้ เพราะสิ่งที่พรรคทำมาตลอดไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและข้อกล่าวหาต่างๆ ล้วนเป็นข้อกล่าวหาที่ถูกร้องเรียนจากพรรคไทยรักไทย ที่ต้องการแก้เกี้ยวที่พรรคประชาธิปัตย์เคยไปร้องกรณีการจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อหนีเกณฑ์ 20 เปอร์เซ็นต์

อัดลูกพรรค ทรท.แก้ต่างแทนนาย


นายองอาจกล่าวว่า จากกรณีที่แกนนำพรรคไทยรักไทยชี้แจงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุเรื่องคนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ น่าจะเป็นความพยายามบิดเบือนแก้ตัวให้นายกฯมากกว่าแก้ปัญหาให้บ้านเมือง เพราะสิ่งที่พูดนั้นเป็นคำกล่าวอ้างลอยๆ ที่เชื่อถือไม่ได้ เมื่อไม่มีหลักฐาน นายกฯไม่ควรพูดให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลใด ไม่ว่าจะเป็นเบื้องสูงหรือเบื้องต่ำ เมื่อถามว่า น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ผู้มีบารมีอยู่นอกรัฐธรรมนูญ คือผู้ที่ต้องการใช้มาตรา 7 เพราะต้องการเบี่ยงเบนเป้าหมายที่พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือไม่ นายองอาจตอบว่า ลิ่วล้อในรัฐบาลควรจะยุติบทบาทบิดเบือนคำพูด และนำคำพูดนั้นไปใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น เพราะวันนี้นายกฯไม่ได้พูดหลุดออกมา และเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่ามาตรา 7 ไม่ใช่เรื่องความผิดใดๆทั้งสิ้น แต่เรื่องที่ควรระมัดระวังมากกว่าคือ เรื่องที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานวุฒิสภา ได้เขียนบทความไว้ และเชื่อว่าจะไม่ใช่บทความชิ้นสุดท้ายที่จะออกมา

ชวน ยันไม่ตั้งพรรคใหม่สำรอง


ด้าน นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่อัยการสูงสุดส่งสำนวนการยุบพรรคการเมือง 5 พรรค ให้ศาลรัฐธรรมนูญว่า ไม่มีอะไรกังวล แต่ประชาชนเป็นห่วง พรรคไม่ได้ทำผิด แต่ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขู่มาตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า ระวังผู้ฟ้องจะติดตะรางเสียเอง ซึ่งตอนนั้นพรรคก็กังวลว่าการสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้จะเที่ยงตรงหรือไม่ และสุดท้ายก็มีผลเช่นนี้ออกมา และหากจะน่าห่วงก็คือข้อมูลใน กกต.สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดาย จึงแสดงให้เห็นว่ามีความร่วมมือหลายระดับ ซึ่งหากสิ่งเหล่านี้ทำได้ ตนก็คิดว่าคงทำอะไรได้หลายอย่างที่เป็นเรื่องผิดๆ ทั้งนี้ ยืนยันไม่มีการเตรียมจดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองไว้รองรับกรณีที่พรรคถูกยุบ ไม่เคยคิดจะมาตั้งพรรคใหม่สำรองเอาไว้ ยุบก็ยุบไป พูดง่ายๆ อย่างนี้ ยุบก็ตั้งใหม่ แต่ว่าไปเตรียมสำรองวางแผนเอาไว้ไม่ทำ


ย้ำรอยด่างองค์กรอิสระถูกแทรกแซง


นายชวนกล่าวว่า เมื่อเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญ ก็ต้องไปชี้แจงตามความเป็นจริง แต่ต้องยอมรับว่าในช่วงรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นช่วงที่องค์กรอิสระถูกแทรกแซงโดยตลอด คนที่มาเป็นกรรมการในองค์กรจึงมาได้หลายรูปแบบ ทั้งมาด้วยเกียรติยศและมาด้วยระบบโพย จึงคิดว่าคงจะมีการทำสำนวนเพื่อมุ่งที่จะให้ร้ายกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ขณะนี้ข้อมูลเหล่านี้ยังเป็นความลับอยู่ ซึ่งพรรคกำลังขอดูหากได้ข้อมูลมาก็ต้องตรวจดูกันอีกที เมื่อถามว่า หลายฝ่ายข้องใจคุณสมบัติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคน จะมั่นใจในการพิจารณาคดีนี้ได้หรือไม่ นายชวนตอบว่า ตุลาการคนนั้นจะมาจากไหนไม่ใช่ประเด็น แต่หากมาด้วยการโยงใยกับพรรคการเมือง เราหวังว่าคนเหล่านั้นจะแยกความผูกพันส่วนตัวกับการปฏิบัติหน้าที่ออกจากกัน ส่วนคนที่ถูกกังขาควรจะถอนตัวจากการพิจารณาคดีนี้หรือไม่ ถือเป็นเรื่องของแต่ละคน ตนไม่ขอวิจารณ์

ลั่น ผู้มากบารมี ไม่ต้องแปลความ


สำหรับกรณี ครม.มีมติแบ่งงานของนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ให้นายเนวิน ชิดชอบ รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบแทนนั้น นายชวนตอบว่า ไม่ขอวิจารณ์ เป็นเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการจะใช้ใครก็แล้วแต่ ถือเป็นเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนการที่นายกรัฐมนตรีออกมาพูดถึงคนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญนั้น นายชวนตอบว่า คนในพรรคไทยรักไทยออกมาพูดฟังดูแล้วชัดเจนว่า คนมีบารมีดังกล่าวหมายถึงใคร และเชื่อว่าการออกมาพูดของนายกรัฐมนตรีเป็นการเรียบเรียงถ้อยคำมา ไม่ได้เป็นการพูดโดยพลั้งเผลอ จึงไม่น่าที่จะเคลือบแคลงข้องใจหรือสงสัยอะไร ดังนั้น การจะไปซักถามอะไร คงไม่มีประโยชน์ เพราะพูดมาชัดเจน ไม่ต้องแปลเป็นอย่างอื่น แต่ที่น่าสนใจคือคำพูดของนายกฯ พูดถึงหลักนิติธรรม พูดถึงการถ่วงดุลอำนาจ เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำลายมาโดยตลอด จึงรู้สึกแปลกใจ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ฝ่ายค้านได้เตือนมาตลอด แต่กลับไม่สนใจ และมีการละเมิดทุกอย่าง

ใช้รถ 6 ล้อขนหลักฐานส่งศาล รธน.


วันเดียวกัน เมื่อเวลา 14.00 น. ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ สำนักงานอัยการสูงสุดได้จ้างรถบัส 6 ล้อบรรทุกสำนวนคำร้องยุบ 5 พรรคการเมือง คือพรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพัฒนาชาติไทย พรรคแผ่นดินไทย และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า โดยบรรจุมาในกล่องกระดาษจำนวน 70 กล่อง มามอบให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ โดยนายอรรถพล ใหญ่สว่าง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด นายเสกสรรค์ บางสมบูรณ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ และนายปรเมศร์ อินทรชุมนุม รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นตัวแทนส่งมอบ ขณะที่นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นตัวแทนรับมอบสำนวน ทั้งนี้ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้เปิดห้องไว้สำหรับเก็บสำนวนคำร้องไว้โดยเฉพาะ พร้อมมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลตลอดเวลา


ภายหลังการรับมอบ นายไพบูลย์กล่าวว่า ฝ่ายอัยการสูงสุดได้นำคำร้องพร้อมสำเนาคำร้องยุบพรรค การเมืองทั้ง 5 พรรค รวม 20 ชุด มามอบให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและเจ้าหน้าที่

อัยการมั่นใจหลักฐานสมบูรณ์


ด้านนายอรรถพลกล่าวว่า อัยการสูงสุดได้ทำสำนวนครบถ้วนตามข้อกำหนดหลักเกณฑ์ของศาลรัฐธรรมนูญรวมความหนากว่า 1 แสนหน้ากระดาษ ไม่น่ามีปัญหาในการรับไว้พิจารณา อย่างไรก็ตาม หากศาลรัฐธรรมนูญคิดว่ายังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะตัดสิน ทางอัยการสูงสุดก็พร้อมจะนำพยานซึ่งมีรายชื่ออยู่ในทะเบียนพรรคการเมืองทั้ง 5 พรรคมาให้ปากคำ โดยคำร้องได้ บรรยายถึงข้อเท็จจริงตั้งแต่ต้น จากการรวบรวมของ กกต. ไม่ได้ตัดข้อสรุปใดๆ ต่อข้อถามว่าอยากให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาให้เสร็จก่อนวันที่ 15 ตุลาคม 2549 หรือไม่ นายอรรถพลตอบว่า ไม่กล้าคิด แล้วแต่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาถึงความเหมาะสม

ผัน ไม่มั่นใจสรุปคดีก่อน 15 ต.ค.


นายผัน จันทรปาน ตุลาการผู้ทำหน้าที่ประธานที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า วันพฤหัสบดีที่ 13 ก.ค. คงจะนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและจะพิจารณาอย่างต่อเนื่องเพราะถือเป็นเรื่องด่วน ต่อข้อถามว่าหนักใจในการพิจารณาคดีนี้หรือไม่ นายผันตอบว่า ความหนักใจไม่น่าจะมี เพราะไม่ใช่ เรื่องของศาลรัฐธรรมนูญเอง ผู้สื่อข่าวถามว่าการพิจารณาดังกล่าวจะกระทบกับวันที่ 15 ต.ค. ที่ทาง กกต.เสนอให้มีการเลือกตั้งหรือไม่ นายผันตอบว่า ไม่เกี่ยวกัน พิจารณาคดีก็ต้องพิจารณาไป ส่วนเลือกตั้งก็เลือกตั้งไป โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าไม่ต้องรอผลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญเพราะเอกสารคดีดังกล่าวมีจำนวนมาก พูดไม่ได้ว่าจะเสร็จทันหรือไม่ จะกลายเป็นการให้สัญญาประชาคมไป ที่สำคัญไม่ได้พิจารณาคนเดียว จึงไม่สามารถระบุได้ว่าจะเสร็จเมื่อใด แต่จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและประชาชน ต้องให้เป็นธรรมให้เกิดความสงบสุขในสังคม

แหล่งที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์