รัฐบาลมาร์ค 1 คงไม่ราบรื่นเหมือนที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คาดหวังไว้
เพราะปัญหาวุ่นวายรุมเร้าเป็นระลอกๆ
ทั้งเรื่องแย่งเก้าอี้รมต.กันเองภายในพรรคประชาธิปัตย์ที่เชื่อว่าน่าจะเป็นหนังม้วนยาว ไม่จบกันง่ายๆ
กับการแต่งตั้งรมต.บางคนที่ดูแล้วจะเป็นปัญหา โดยเฉพาะรมต.จากกลุ่มทุนและกลุ่มพันธมิตร
นายอภิสิทธิ์ต้องยอมรับว่าผิดพลาดจริงๆ กับการเลือกนายกษิต ภิรมย์ เป็นรมว.ต่างประเทศ เพราะยิ่งตอกย้ำภาพความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพันธมิตร
ยิ่งผิดพลาดเข้าไปใหญ่ที่ปล่อยให้นายกษิตโชว์วาทะ "ม็อบปิดสนามบินสนุกดี อาหารอร่อย ดนตรีเพราะ" ต่อหน้าบรรดาทูตหลายประเทศและผู้สื่อข่าวต่างชาติ
แค่พูดเรื่องนี้ ในประเทศก็ส่อความวุ่นวายไม่รู้จบ รมต.ประกาศตัวชัดเจนว่าหนุนพันธมิตร ยิ่งทำให้สังคมที่ขัดแย้งกันอยู่ เลวร้ายลงไปอีก
กลุ่มคนที่มีแนวคิดตรงกันข้ามกับพันธมิตรออกมาฮึ่มๆ ลุกฮือต่อต้านใหญ่
ภาพของรัฐบาลจะติดลบยิ่งขึ้น เพราะสังคมเฝ้าจับตาดูแล้วว่ารัฐบาลชุดนี้จะตรงไปตรงมาเรื่องคดีความต่างๆ ของบรรดาแกนนำพันธมิตรหรือไม่
ทั้งคดีฟ้องร้องปิดสนามบิน-ยึดทำเนียบ คดีหมิ่นประมาทสารพัด รวมถึงคดีสำคัญ-หมิ่นสถาบันเบื้องสูง จะออกมาแบบไหน
จะใช้มาตรฐานเดียวกับที่กลุ่มเสื้อแดงโดนดำเนินคดีหรือไม่
ตำรวจที่รับผิดชอบคดีสำคัญๆ ของพันธมิตรจะโดนย้ายโดนเด้งหรือเปล่า
ที่สำคัญวาทะของรมต.กษิตไม่ได้พูดแค่วงแคบๆ ในเมืองไทย แต่สื่อสารไปทั่วโลก เป็นการพูดกับบรรดาทูตหลายประเทศและสื่อมวลชนต่างชาติหลายสำนักจนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันกว้างขวาง
คงไม่มีใครว่าที่นายกษิตจะรู้สึกที่ดีกับพันธมิตร แต่เมื่อมาดำรงตำแหน่งรมต.ต่างประเทศก็ต้องสละคราบพันธมิตรออกให้ได้ ทำหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก
การที่ออกมาปกป้องม็อบปิดสนามบินนานาชาติไม่ใช่เรื่องเหมาะสม
เพราะทั้งคนไทยและชาวต่างชาติได้รับผลกระทบรุนแรงจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง
นักท่องเที่ยวหลายแสนคนจากหลายสิบประเทศติดค้างอยู่ในเมืองไทย หลายรายเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ขณะเปลี่ยนไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินภูเก็ตหรืออู่ตะเภาแทน
การเจรจาธุรกิจระหว่างประเทศมูลค่ามหาศาลหยุดชะงัก เพราะนักธุรกิจต่างประเทศลังเล
ยิ่งได้ยินวาทะแบบนี้เข้า ฝรั่งคงถอยกันกรูด เพราะไม่รู้ว่าจะยึดสนามบินกันเมื่อไหร่อีก
ก็ขนาดรมต.ต่างประเทศยังเห็นดีเห็นงามกับการไฮแจ๊กสนามบิน