ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกในวันที่ 23 ธ.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มอบแนวทางในการทำงานร่วมกันของครม. ไว้ 9 ข้อ เพื่อเป็นกรอบการปฏิบัติหน้าที่ โดยแถลงหลังการประชุม ดังนี้
ที่ประชุมครม.รับทราบการบรรยายสรุปเรื่องสภาวะของประเทศและรับทราบปัญหาเศรษฐกิจ สังคม ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและทรัพยากรตามที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ความเห็นชอบนโยบายรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภา ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลได้ทำงานควบคู่กับการรับทราบข้อมูลจากเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการต่างๆ โดยจะจัดพิมพ์ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้และส่งให้รัฐสภา
และจะขอความกรุณาประธานรัฐสภาให้เปิดประชุมร่วมในการแถลงนโยบายในวันที่ 29-30 ธ.ค. ซึ่งจะเปิดโอกาสให้สมาชิกอภิปรายตามความจำเป็นตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.เป็นต้นไป นโยบายนี้สามารถเปิดเผยต่อสื่อมวลชนได้เลย
นโยบายรัฐบาลแบ่งเป็นนโยบายเร่งด่วน และนโยบายตามวาระของรัฐบาล
นโยบายเร่งด่วนจะมุ่งเน้นเรื่องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ การสร้างความสมานฉันท์ การฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเร็วและการพัฒนาประชาธิปไตย
หลังเสร็จจากการแถลงนโยบาย ซึ่งคาดว่าเป็นคืนวันที่ 30 ธ.ค. ผมได้นัดประชุมครม.เป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้ความเห็นชอบข้อตกลงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาเซียน และต้องการผลักดันเรื่องนี้ให้ผ่านรัฐสภาในช่วงต้นปี
นอกจากนั้น ยังจะหารือเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่ และพิจารณาการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับมติครม. ที่เกี่ยวกับการแทรกแซงราคาพืชผลทางการเกษตรที่ขณะนี้ยังมีปัญหาไม่สามารถแก้ไขได้ และมีเกษตรกรบางกลุ่มยังได้รับความเดือดร้อน เช่น กรณีของข้าวโพด
จากนั้นรัฐบาลจะออกแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ครอบคลุมทุกภาคส่วน ทั้งภาคการเกษตร แรงงาน ธุรกิจท่องเที่ยวและการต่างประเทศ ซึ่งอยู่ในนโยบายเร่งด่วนอยู่แล้ว จะมีคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ และคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน เป็นกลไกในการขับเคลื่อน
การประชุมครม.ครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งแรก จึงมอบแนวทางในการทำงานร่วมกันในฐานะคณะรัฐมนตรีทั้งหมด 9 ข้อ และอยากให้ครม.ยึดถือ
โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่รัฐบาลต้องตระหนักว่าเข้ามาบริหารบ้านเมืองในภาวะวิกฤตทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และไม่ได้เข้ามาในภาวะที่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในระหว่างอายุของสภา
1.ให้ครม.น้อมนำพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานให้กับครม. เมื่อวันที่ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ฯ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน
โดยเฉพาะที่ทรงเน้นเรื่องการปฏิบัติงานให้เกิดความเรียบร้อยและเกิดความสุขในหมู่ประชาชน
2.เน้นให้ยึดถือการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างเคร่งครัด
ผมย้ำมาตลอดว่าปัญหาของรัฐบาลแม้จะมาตามระบบรัฐสภา แต่ถ้าไม่สามารถบริหารงานที่อยู่บนความซื่อสัตย์สุจริตได้จะเป็นปัญหาในทางการเมือง เป็นปัญหาต่อเสถียรภาพรัฐบาลและในบางครั้งก็นำไปสู่ความสูญเสียประชาธิปไตย
ที่สำคัญต้องดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาและบุคลากรที่มาช่วยงานรัฐมนตรีให้ซื่อสัตย์สุจริตด้วย
3.นโยบายที่ครม.อนุมัติในวันเดียวกันนี้ ต้องถือเป็นเป้าหมายหรือทิศทางร่วมของครม.ชุดปัจจุบัน
ดังนั้น รัฐมนตรีที่จะไปกำหนดนโยบายเพิ่มเติมในระดับกระทรวง หรือการแสดงความคิดเห็นในเชิงนโยบายขอให้อ้างอิงนโยบายรัฐบาล เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและให้เกิดความชัดเจนในทิศทางการทำงานของรัฐบาล
4.ในภาวะวิกฤต ลักษณะการทำงานของรัฐบาลต้องเป็นไปด้วยความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ มีเอกภาพ
แม้เป็นรัฐบาลผสมก็ต้องไม่เป็นรัฐบาลที่แบ่งพรรคและเป็นรัฐบาลต้องรับผิดชอบร่วมกัน ปัญหาของประเทศที่มีอยู่ขณะนี้จะไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ดังนั้น การประสานงานระหว่างกระทรวงจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ
หมายถึงบทบาทการมีคณะกรรมการ บทบาทของผมในฐานะนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีที่จะต้องเข้าไปกำกับดูแลประสานงาน หรือดำเนินการให้เกิดมาตรการที่เป็นรูปธรรมให้เร็วที่สุด
จึงขอให้รัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการร่วมมือในรูปแบบของคณะกรรมการ โดยเฉพาะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่จะแก้ปัญหาวิกฤตที่จะมีการจัดตั้งขึ้น
5.รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลในวิถีทางรัฐสภา ได้เน้นว่ารัฐมนตรีทุกคนต้องเข้าร่วมประชุมสภาอย่างสม่ำเสมอ ไม่เฉพาะการไปลงคะแนนเท่านั้น ต้องไปรับฟังความคิดเห็นของส.ส. ทั้งในส่วนของการอภิปรายและการพบปะพูดคุยกับส.ส.ในพื้นที่ต่างๆ
สิ่งสำคัญที่สุดคือรัฐมนตรีทุกคนต้องทราบว่าสภากำหนดเวลาที่ชัดเจนเรื่องกระทู้ถามสด ในเวลา 13.30 น. ของวันพฤหัสฯ จึงขอไม่ให้รัฐมนตรีมีภารกิจนัดหมายใดๆ ยกเว้นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ
เพราะรัฐมนตรีมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อสภาในการตอบกระทู้ถามสดของส.ส.ตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ
6.เน้นย้ำกับรัฐมนตรีทุกคนว่าวันนี้ถือเป็นบุคคลสาธารณะ ในภาวะที่มีทั้งปัญหาเศรษฐกิจและมีปัญหาความขัดแย้งในสังคมสูง ขอให้รัฐมนตรีทุกคนปฏิบัติตนโดยคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน
ไม่อยากให้มีเงื่อนไข เหตุการณ์หรือพฤติกรรมใดๆ ซึ่งนำไปสู่ความไม่เชื่อมั่นความไม่ศรัทธา ขอให้มีความระมัดระวังเป็นพิเศษ
7.ในรัฐบาลที่เชื่อมั่นวิถีทางประชาธิปไตยต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เพราะฉะนั้นการดำเนินนโยบายหรือโครงการที่ยังไม่เป็นที่รับรู้หรือเข้าใจของประชาชนขอให้อดทน
อย่าได้ตั้งแง่กับการดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เช่น กระบวนการประชาพิจารณ์ เป็นต้น
8.รัฐบาลชุดนี้ต้องพร้อมรับการตรวจสอบทั้งในเชิงนโยบายและเรื่องอื่นๆ นอกจากจะขอไม่ให้รัฐมนตรีสร้างอุปสรรคขัดขวางในการตรวจสอบแล้ว ก็ขอว่าเมื่อใดที่มีการตรวจสอบในลักษณะของการวิพากษ์วิจารณ์ หรือการสัมภาษณ์ขอให้ชี้แจงโดยใช้เหตุผลข้อเท็จจริง ข้อมูลที่รัฐมนตรีทุกคนได้ใช้ประกอบการตัดสินใจ
รวมทั้งหลีกเลี่ยงการนำรัฐบาล หรือตัวเองเข้าไปในลักษณะของการตอบโต้หรือทะเลาะ ซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวทางที่รัฐบาลต้องการจะสร้างความสามัคคีในปัจจุบัน
9.ได้ย้ำรัฐมนตรีทุกคนว่าไม่มีสิทธิ์เหนือประชาชนคนอื่นในแง่การปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ความรับผิดชอบทางการเมืองนั้นมีมาตรฐานที่สูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมายด้วย
ดังนั้น สิ่งที่ผมให้แนวทางในฐานะเป็นหัวหน้ารัฐบาล และมีหน้าที่ในการติดตามประเมินการทำงานของรัฐมนตรี คือ หากการดำรงอยู่ในตำแหน่งของรัฐมนตรีเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขบ้านเมือง แม้ว่าจะไม่ผิดกฎหมาย หรือแม้ว่าอาจไม่ได้เป็นการกระทำความผิด
ผมขอให้รัฐมนตรีทุกคนแม้แต่ตนเองต้องยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ของรัฐบาล
ทั้ง 9 ข้อนี้ถือเป็นแนวทางที่ถือว่าเป็นกติกาในการทำงานร่วมกันของครม.ชุดนี้ และรัฐบาลจะมีการประเมินผลการทำงานของตัวเองตลอดเวลาตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
และอย่างน้อย 3 เดือนก็ควรจะมีการประเมินกันอยู่แล้ว