ถึงแม้วิธีการขึ้นสู่เก้าอี้ผู้นำสูงสุดครั้งนี้
จะถูกเยาะเย้ยถากถางจากนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามว่าขาดความสง่างามไปหน่อยก็ตาม
แต่ด้วยสภาพความเป็นจริงที่ว่า หลังจากการเลือกตั้งเดือนธ.ค.2550 คนของพรรคพลังประชาชนที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี 2 คน คือ นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ไม่สามารถนำพาประเทศออกจากวิกฤตการเมือง ที่ส่งผลกระทบรุนแรงจนลุกลามกลายเป็นวิกฤตในทุกด้านได้ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
ด้วยแรงกดดันจากปัญหารอบด้านเหล่านี้ สังคมจึงพร้อมเปิดโอกาสให้รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ามาบริหารประเทศบ้าง
และพร้อมจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับวิธีการได้มาซึ่งรัฐบาลชุดใหม่
หลังจมปลักเป็นฝ่ายค้านอยู่นาน 8 ปี
ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่นายอภิสิทธิ์และพรรคพวก จะได้โชว์ฝีมือในฐานะฝ่ายบริหาร
หลายคนเป็นห่วงเป็นใย ว่าด้วยองค์ประกอบรัฐบาลที่มาจากหลายพรรค อาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีเข้ามาทำงาน
แต่อีกหลายคนก็เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งอุดมไปด้วยนักการเมืองระดับเขี้ยวลากดิน ไล่มาตั้งแต่ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค รองประธาน มาจนถึงเลขาธิการพรรค
เรื่องจัดสรรผลประโยชน์ทางการเมืองแค่นี้ ถือว่ากระจอกเอามากๆ
งานใหญ่เฉพาะหน้าของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ น่าจะเป็นการสร้างความสมัครสมานสามัคคีระหว่างคนในชาติมากกว่า
กรณีม็อบเสื้อแดงบุกไปอาละวาดหน้ารัฐสภาเมื่อวันก่อน
ถือเป็นสัญญาณอันตรายสำหรับนายอภิสิทธิ์ และสร้างความหวาดหวั่นให้กับคนในรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่น้อยเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการบางคนแนะว่าหลังจากนายอภิสิทธิ์ เข้ารับตำแหน่งนายกฯเต็มตัวแล้ว พื้นที่แรกที่ควรไปคือจังหวัดภาคอีสาน
พื้นที่ป้องปราการของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล
เอานโยบายลงไป เอางบประมาณลงไป เอาความหวังลงไป
ให้คนอีสานเห็นว่าสิ่งใดที่"รัฐบาลทักษิณ"ทำได้ "รัฐบาลอภิสิทธิ์"ทำได้เช่นกัน
โครงการประชานิยมอันไหนดีก็สานต่อ ไม่ต้องกลัวเสียฟอร์ม อันไหนมีข้อบกพร่องรั่วไหลก็จัดการปรับปรุงแก้ไขให้รัดกุมกว่าเดิม
ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือก็ไม่ได้ลูกเสือ
อย่าลืมว่าจุดอ่อนของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำให้พ่ายแพ้เลือกตั้งแก่พรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน อยู่ตรงพื้นที่ภาคอีสานนี้เอง
ถ้าพรรคประชาธิปัตย์สามารถฉวยโอกาสแก้ไขจุดอ่อนตรงนี้ได้
ไม่แน่ว่าการขึ้นเป็นนายกฯครั้งต่อไปของนายอภิสิทธิ์
จะมีความสง่างามกว่านี้