ในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็ดันก้น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทยได้เป็นผลสำเร็จ หลังจากรอคอยมานานร่วม 8 ปี ด้วยคะแนน 235 ต่อ 198 เสียง
ทำเอาบรรดากองเชียร์หายใจแบบไม่ทั่วท้องเพราะคะแนนเล่นไล่หลังตามมาติดๆ แบบหายใจรดต้นคอ ก่อนที่จะเฉือนชนะ ประชา พรหมนอก แคนดิเดตจากพรรคเพื่อแผ่นดิน เพียง 37 เสียงเท่านั้น ในทางการเมืองถือว่า 37 เสียง น่าหวาดเสียวไม่ใช่น้อยกับการเป็นรัฐบาลผสมที่มาจากหลายพรรค หลายกลุ่ม ภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์
นั่นเป็นเพราะตั้งแต่ยกแรกที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค สวมบทล็อบบี้ยิสต์ เดินสายฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลจนถึงยกสุดท้าย
ทำเอาประชาธิปัตย์แทบหืดจับ เพราะเส้นทางการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ "อภิสิทธิ์" ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เกิดจากดอกกุหลาบฮอลแลนด์หลาย 10 ช่อ ที่ "สุเทพ" พาเดินสายวิ่งเต้นโชว์พลังดูด แข่งกับอดีตพรรคพลังประชาชนที่แปรสภาพเป็นพรรคเพื่อไทย
ท่ามกลางกระแสการต่อรองเก้าอี้แลกกับผลประโยชน์ต่างตอบแทบ วิ่งกันให้วุ่นจนฝุ่นตลบ ก่อนที่จบด้วยการกว้านซื้อตัว ส.ส.ไม่ต่างจาก "ตลาดนัดวัว-ควาย"
สภาพการวิ่งเต้นต่อรองเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาลโดยการทำของพรรคประชาธิปัตย์ ในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเพราะความหลากหลายของกลุ่มการเมือง และพรรคต่างๆ ที่เข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาล ต่างยืนอยู่บนอุดมการณ์ที่แตกต่างจากพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด
แต่กลับมาจูบปากกันได้เมื่อผลประโยชน์ลงตัวบนซากปรักหักพังประเทศ ในยุคที่ "ระบอบทักษิณ" ใกล้ล่มสลาย
นี่จึงไม่ง่ายสำหรับ "อภิสิทธิ์" ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ในรอบ 1 ปีของประเทศไทย ที่จะสมานความแตกแยกของสังคมระหว่างมวลชนเสื้อเหลือง-แดง ได้ รวมถึงวิกฤติเศรษฐกิจที่ทรุดหนักทั่วโลก
จริงอยู่ที่ทุกครั้งบ้านเมืองเกิดวิกฤติ "พรรคประชาธิปัตย์" มักจะได้โอกาสนั้นเข้ามากอบกู้สถานการณ์
แต่ทว่าท่ามกลางเสียงสนับสนุน 235 เสียง ที่แบ่งเป็น ...
~ประชาธิปัตย์ 166
~เพื่อแผ่นดิน 11
~อดีตพรรคมัชฌิมาธิปไตย 7
~อดีตพรรคชาติไทย 14
~พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 7
~ส.ส.กลุ่มสุวิทย์ คุณกิตติ ที่จะย้ายไปสังกัดพรรคกิจสังคม 5
~ส.ส.กลุ่มนายสรอรรถ กลิ่นประทุม 2
~และแก๊งอนาคอนด้า จากกลุ่มเพื่อนเนวิน 22 เสียง