รมว.คลังชี้การเมืองทำไทยถูกลดเรตติ้ง กู้เงินเสียดบ.สูงขึ้น ปิดสนามบินยอดพักโรงแรมทั่วปท.ลดฮวบ


แบงก์ชาติห่วงปีหน้าว่างงานพุ่ง พธม.ปิดสนามบินซ้ำเติมศก. ท่องเที่ยวทรุด ต่างชาติพักโรงแรมฮวบทั่วประเทศ ขณะที่เงินเฟ้อลดต่ำต่อเนื่อง จับตาสินค้าอาหารที่ยังราคาสูง รมว.คลังรับสภาพกู้เงินดอกเบี้ยสูงขึ้น การเมืองทำให้ไทยโดนลดเรตติ้งแน่

เงินเฟ้อพ.ย.ลด-ปีหน้าไม่เกิน3.5%

นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อ) เดือนพฤศจิกายน 2551 เท่ากับ 121.5 ลดลง 1.2% จากเดือนตุลาคม 2550 และสูงขึ้น 2.2% เทียบเดือนพฤศจิกายน 2550 เฉลี่ย 11 เดือนแรกปีนี้ เงินเฟ้อสูงขึ้น 5.9% ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเท่ากับ 108.3 ลดลง 0.3% จากเดือนตุลาคม 2551 และสูงขึ้น 2% เทียบเดือนพฤศจิกายน 2550 เฉลี่ย 1 1 เดือน สูงขึ้น 2.5% ทั้งนี้ เงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนเป็นอัตราขยายตัวต่ำสุดในรอบ 14 เดือน และลดลงเป็นเดือนที่สอง โดยเดือนธันวาคมมีแนวโน้มว่าเงินเฟ้อจะลดลงต่ำกว่า 3% และทำให้เงินเฟ้อทั้งปีสูงขึ้น 5.6-5.9% ส่วนปี 2552 กระทรวงพาณิชย์คาดว่า เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 2.5-3.5% บนสมมุติฐานราคาน้ำมันเฉลี่ย 60-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เศรษฐกิจประเทศขยายตัว 3% อัตราแลกเปลี่ยน 35-36 บาท/เหรียญสหรัฐและการสิ้นสุดใช้ 6 มาตรการช่วยเหลือประชาชนซึ่งจะกระทบต่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 1%
 
กรมการค้าภายในจับตาราคาอาหารยังสูง

นายศิริพล กล่าวว่า สาเหตุที่เงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนลดลง เนื่องจากสินค้าในหมวดไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มลดลง 2.9% เป็นอัตราลดลงมากกว่าเดือนตุลาคมที่ลดลง 1.9% สินค้าที่ลดลงสำคัญคือ ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ลดลง 17.1% ค่าโดยสารสาธารณะประจำทางลดลง 3.3% แต่ราคาสินค้าเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ปรับขึ้น 0.6% อาทิ ผงซักฟอก น้ำผ้าปรับผ้านุ่ม แชมพู ค่าแต่งผมชาย เป็นต้น ขณะที่สินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น 1% สวนทางกับเดือนตุลาคมที่ผ่านมาติดลบ 0.2% โดยผักสดสูงขึ้น 17.7% นมและผลิตภัณฑ์นม เพิ่มขึ้น 0.6% น้ำอัดลม น้ำผลไม้ เครื่องดื่มช็อกโกแลตเพิ่มขึ้น 0.4%

นางวัชรี วิมุกตายน รองอธิบดีกรมการค้าภายใน (คน.) กล่าวว่า กรมกำลังติดตามภาวะราคาสินค้าว่ามีรายการที่ขายเกินราคาหลังต้นทุนปรับลดลง โดยล่าสุดได้ขึ้นบัญชีอาหารสำเร็จรูปเป็นสินค้าอ่อนไหว และเตรียมเรียกผู้ประกอบการมาหารือเพื่อขอให้ปรับลดราคาอาหารซึ่งพบว่าต้นทุนมีการลดลงแต่ราคายังคงเดิมและอาจมีบางรายปรับขึ้นราคาสินค้า หากผู้ประกอบการเพิกเฉยก็จะมาตรการทางกฎหมายเข้าดูแล

ชี้ภาคเกษตรรับแรงงานน้อยลง

รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งว่า ภาวะแรงงานเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีผู้ว่างงานทั้งสิ้น 4.32 แสนคน คิดเป็น 1.1% ของกำลังแรงงานทั้งหมด ผู้ที่ทำงานต่ำกว่าระดับ 4.29 แสนคน คิดเป็น 1.1% และผู้ว่างงานรอฤดูกาลมีจำนวน 1.38 แสนคน คิดเป็น 0.4% และเมื่อปรับผลของฤดูกาลแล้ว อัตราการว่างงานและอัตราการทำงานต่ำกว่าระดับยังคงโน้มต่ำต่อเนื่อง โดยมีค่า 1.3% และ 1.1% ตามลำดับ แต่อัตราการว่างงานรอฤดูกาลปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 0.8% อย่างไรก็ตาม แม้การจ้างงานโดยรวมยังคงเพิ่มขึ้น แต่ยังมีสัญญาณของการชะลอตัวในบางภาคการผลิต โดยสัดส่วนของการจ้างงานในภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ที่ 0.5% ขณะที่การจ้างงานภาคการเกษตรหดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน ที่ 0.3% สะท้อนถึงความสามารถของภาคเกษตรในการรองรับแรงงานที่ลดลง ทั้งนี้ แหล่งที่มาของการขยายตัวของการจ้างงานที่สำคัญคือภาคบริการ ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น 2% ขณะที่ภาคการค้าขยายตัว 0.4% และการก่อสร้างขยายตัว 0.3%

ธปท.ห่วงท่องเที่ยวหดว่างงานพุ่ง

นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท.กล่าวว่า อัตราการว่างงานในปีหน้าน่าเป็นห่วง เพราะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง จะกระทบต่อการส่งออกไทยอย่างชัดเจน และยังมีปัจจัยภายในจากปัญหาทางการเมือง ทำให้กระทบต่อการท่องเที่ยว ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องถึง การจ้างงาน การลงทุนและการผลิต และธุรกิจต่อเนื่องอีกมาก โดยเดือนตุลาคมจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติลดลง 6.3% ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากเดือนกันยายนที่มีเหตุความไม่สงบทางการเมือง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

"อัตราการเข้าพักโรงแรมในเดือนตุลาคมอยู่ที่ 51.6% ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 58% ตามการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยว โดยอัตราเข้าพักได้ปรับลดทุกพื้นที่ โดยเฉพาะกรุงเทพฯอัตราเข้าพักลดลงจาก 62.6% มาอยู่ที่ 57.1% ในปีนี้ และภูเก็ตลดลงจาก 60.6% มาอยู่ที่ 55% โดยยังไม่นับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอีกมากจากเหตุการปิดสนามบิน" นางอมรา กล่าว

คลังชี้ท่องเที่ยววูบ1.5หมื่นล./ด.

ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์ และอุตสาหกรรม วุฒิสภา จัดเสวนาเรื่อง "เผาจริงหรือเผาหลอก เศรษฐกิจไทยปี 2552" โดยนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลกที่ไม่สามารถควบคุมได้ และปัญหาทางการเมืองที่สร้างขึ้นเอง จนทำให้นักลงทุนและประชาชนขาดความเชื่อมั่น โดยเฉพาะการปิดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง ที่ประเมินแล้วว่า ภายใน 1 ปีจากนี้ จะทำให้รายได้การท่องเที่ยวหายไปเดือนละ 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจนถึงขณะนี้รัฐบาลยังไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร นอกจากนี้ ยังมีความน่าเป็นห่วงในส่วนของการส่งออก แม้จะยังเติบโต แต่เป็นการเติบโตที่ลดลง

รับสภาพโดนลดเรตติ้ง-กู้ดอกเบี้ยสูง

นายสุชาติกล่าวว่า รัฐบาลจะพยายามผลักดันให้การเพิ่มงบประมาณกลางปี 2552 จำนวน 1 แสนล้านบาท เกิดขึ้นได้เร็วที่สุด แม้ว่าขณะนี้จะไม่แน่ใจว่า งบฯดังกล่าวจะเป็นเพียงแผ่นกระดาษหรือไม่ก็ตาม

"เรื่องเร่งด่วนที่เราต้องแก้ขณะนี้คือ ปัญหาที่ปิดสนามบิน โดยรัฐบาลจะพยายามสร้างความรู้สึกที่ดีต่อนักท่องเที่ยวที่ยังตกค้างอยู่ให้ได้มากที่สุด ด้วยการชดเชยเรื่องของค่าใช้จ่ายต่อวัน และการจัดหาที่พักและอาหาร โดยจะใช้งบกลางสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวรู้สึกดีมากที่สุด ก่อนที่นักท่องเที่ยวจะออกจากประเทศไทย และคาดว่า ยังมีหลายหน่วยงานที่ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยให้เข้ากับความเป็นจริง หรือเรตติ้งในใจของคนทั่วโลกที่ลดลงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเราต้องพร้อมรับความจริงว่า ต่อจากนี้หากจะกู้เงินก็คงต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราที่แพงขึ้น" นายสุชาติกล่าว

ยังหวังปีหน้าเศรษฐกิจไม่ติดลบ

นายสุชาติกล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาแนวคิดการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ แต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะดำเนินการได้มากน้อยเพียงใด เนื่องจากเวลาของรัฐบาลอาจมีไม่มากคือ อาจถึงแค่บ่ายวันที่ 2 ธันวาคมก็ได้ แต่กระทรวงการคลังกำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะลดภาษีสำหรับการอบรมความรู้ทักษะเพิ่มเติมให้พนักงาน จากเดิมที่หักค่าใช้จ่ายได้ 1 เท่าของเงินเดือน อาจจะเพิ่มเป็น 1.5 เท่า นอกจากนี้ผู้ประกอบการอาจได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น กรณีที่พนักงานมีความรู้ความสามารถมากขึ้น ได้รับเงินเดือนมากขึ้นจากการอบรม สามารถนำมาคิดเป็นรายจ่ายของบริษัทและนำมาหักภาษีได้อีก

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่เศรษฐกิจไทยปี 2552 จะขยายตัว 0% นายสุชาติกล่าวว่า คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขยายตัว 0-2% ซึ่งถือว่าต่ำมากแล้ว แต่คงจะไม่ติดลบ เพราะการส่งออกยังพอไปได้ และเชื่อว่ามาตรการดูแลเศรษฐกิจของรัฐบาลน่าจะพอพยุงสถานการณ์ต่อไปได้
 

"ฟิตช์" ก็ลดเครดิตชี้ขาดผู้นำน่าเชื่อถือ

รอยเตอร์รายงานด้วยว่า ฟิตช์ เรตติ้ง บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ แถลงปรับลดภาพรวมเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวของไทยเช่นกัน ทั้งที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศและสกุลเงินท้องถิ่นให้เป็นลบ จากเดิมที่เคยกำหนดให้อยู่ในสภาวะมีเสถียรภาพ แม้ว่าจะยังคงอันดับความน่าเชื่อถือสำหรับตราสารหนี้ระยะยาวที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศและสกุลเงินท้องถิ่นของไทยไว้ที่ "BBB+" และ "A" เหมือนเดิมก็ตาม โดยฟิตช์ให้เหตุผลในการปรับลดภาพรวมดังกล่าวว่า เป็นผลมาจากภาวะปั่นป่วนทางการเมืองยังมองไม่เห็นทางแก้ปัญหาซึ่งจะทำลายพื้นฐานเครดิตของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเศรษฐกิจโลกย่างเข้าสู่ภาวะถดถอย

ทั้งนี้ นายวินเซนต์ โฮ ผู้อำนวยการกลุ่มตราสารหนี้ของฟิตช์ ระบุว่า มีความวิตกว่าการขาดผู้นำทางการเมืองที่น่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ อาจส่งผลให้นโยบายทางเศรษฐกิจถูกละเลยหรือไม่ก็ไร้ประสิทธิภาพในยามที่จำเป็นต้องมีนโยบายที่ดีเพื่อแก้ปัญหาภาวะเศรษฐกิจโลกปรับตัวครั้งรุนแรง โดยคาดว่าในปี 2552 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวแค่ 0.9% ต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตเอเชียในปี 2540 เป็นต้นมา

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์