ตร.-ทหารอารักขาเข้ม เล็งงัดแผนสำรองใช้กองทัพไทยเป็นที่พิจารณาลงมติ หนีม็อบเสื้อแดงปิดล้อมกดดันการทำหน้าที่ ด้าน "แม้ว-อ้อ" ชี้นิ้วเลือก "เหลิม" นั่งนายกฯ ใหม่ "เติ้ง" เล็งใช้หัวใหม่ "พรรคชาติไทยพัฒนา" หากโดนยุบ ด้านพรรคร่วมเมินถอนตัวพร้อมกอดคอตายหมู่
กระแสข่าวการนำมวลชนเข้ามาชุมนุมหน้าศาลรัฐธรรมนูญ ในวันแถลงปิดคดียุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ที่จะมีขึ้นวันที่ 2 ธันวาคม เวลา 09.00 น. ทำให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกังวลว่าจะเป็นการกดดันการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันได้มีการจัดวางกำลังอารักขาความปลอดภัยทั่วบริเวณศาลรัฐธรรมนูญโดยรอบ
บรรยากาศที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะนัด 3 พรรคการเมือง มาแถลงปิดคดีด้วยวาจาในวันที่ 2 ธันวาคมนั้น ตลอดทั้งวันได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.พระราชวัง มาตรวจความปลอดภัยพร้อมกับนำแผงเหล็กมากั้นหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญตลอดทั้งแนว เพื่อเตรียมป้องกันกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งคาดว่าจะมาปิดล้อมอาคารสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์ นอกจากนี้ยังมีกำลังตำรวจนครบาล สารวัตรทหารเรือ และทหารบก จำนวนหนึ่งกระจายตามจุดต่างๆ โดยรอบศาล เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลรัฐธรรมนูญว่า ภายหลังจากที่มีกระแสข่าวว่าสำนักงานเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญเตรียมแผนฉุกเฉินสำรองไว้ หากว่ามีการปิดล้อมที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คนลงมติและพิจารณาคดียุบพรรคพลังประชาชน โดยอาจมีการประสานไปยังฝ่ายความมั่นคง เพื่อขอใช้พื้นที่ในการประชุมและลงมติคดียุบพรรคพลังประชาชน บนกระแสข่าวว่า จะใช้กองบัญชาการกองทัพไทย ถนนแจ้งวัฒนะ แทน
นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า เรื่องนี้ให้ไปถาม นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ตนไม่อยู่ในสถานะจะพูดได้
เมื่อถามว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการลงมติคดียุบพรรคในวันที่ 2 ธันวาคม เลยหรือไม่ นายจรัญ ตอบว่า “จะไปลงมติได้อย่างไร ที่ประชุมยังหาไม่ได้เลย”
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวพยายามโทรศัพท์สอบถามนายไพบูลย์ตลอดทั้งวัน แต่นายไพบูลย์ ไม่รับโทรศัพท์แต่อย่างใด
ตร.วางกำลังอารักขาศาลรธน.เข้มงวด
วันเดียวกันนี้ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. ได้กำชับไปยัง พล.ต.ต.วิทยา รัตนวิชช์ ผบก.น.6 ในฐานะผู้รับผิดชอบพื้นที่ปฏิบัติตามแผนดูแลความสงบเรียบร้อยรักษาความปลอดภัย “กรกฎ 48” อย่างเข้มงวด พร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานทหารและ กทม. โดยวางกำลังรักษาความปลอดภัยทั้งชั้นนอกและชั้นในของศาลรัฐธรรมนูญ ใช้กำลังตำรวจ 500 นาย และมีกำลังสำรองเตรียมความพร้อม ณ ที่ตั้งอีก 500 นาย เพื่อเข้าไปสนับสนุนหากเกิดเหตุวุ่นวาย พร้อมระดมกลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด บก.ตปพ.เข้าไปตรวจวัตถุต้องสงสัยตั้งแต่ช่วงเย็น
ส่วนกระแสข่าวจะมีกลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามาสร้างความวุ่นวายนั้น ผบช.น.ได้ออกคำสั่งด่วนที่สุดไปยัง ผบก.น.1-9 ตปพ.และ ผบก.จร.ผกก.88 สน. ตั้งด่านตรวจค้นและสกัด ทั้งรอบนอกรอบในตรวจค้นอาวุธ รถต้องสงสัยรอบบริเวณทุกเส้นทางที่สามารถเชื่อมต่อมายังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น พร้อมออกหนังสือคำสั่งให้ทุกหน่วยปฏิบัติตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อย่างเคร่งครัด หากตรวจสอบพบการกระทำผิดในลักษณะดังกล่าว ให้พิจารณาจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 229 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งความผิดในมาตราอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความผิดตาม พ.ร.บ.อื่นที่มีโทษทางอาญาที่เกี่ยวข้อง
"ศิลปอาชา"จ่อสูญพันธุ์หากถูกตัดสิทธิ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารทั้ง 3 พรรค ตัวเลข ส.ส.ที่มีอยู่ในสภา 480 เสียงจะเหลือประมาณ 449 - 450 คน โดย ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งประกอบด้วย ส.ส.พรรคพลังประชาชน จาก 232 เสียง จะเหลือ 216 เสียง ชาติไทย จาก 34 เสียง จะเหลือ 19 เสียง มัชฌิมาธิปไตย 11 เท่าเดิม ส่วน เพื่อแผ่นดิน 24 รวมใจไทยชาติพัฒนา 9 และประชาราช 5 เสียง รวมเสียงฝ่ายรัฐบาลจะอยู่ประมาณ 284 - 285 เสียง ซึ่งถือว่ายังเกินกึ่งหนึ่งของ ส.ส.ที่มีอยู่ ขณะที่ฝ่ายค้าน คือประชาธิปัตย์ มี ส.ส.ในมือขณะนี้ 165 เสียง
ในจำนวนกรรมการบริหารพรรคของ 3 พรรคนั้นมีรวมทั้งสิ้น 109 คน แบ่งเป็น พลังประชาชน 37 คน ชาติไทย 43 คน และมัชฌิมาธิปไตย 29 คน ซึ่งถ้ามีการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรคทั้ง 3 พรรคจริง พรรคที่จะถูกกระทบหนักมากที่สุดคือ พรรคชาติไทยที่มี ส.ส.อยู่เพียง 34 คน ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเกือบทั้งหมด รวมทั้งตระกูล "ศิลปอาชา"ของนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค ต้องสูญพันธุ์ทันที
พปช.จี้ประชาชนตรวจสอบศาลรธน.
นายทรงศักดิ์ ทองศรี อดีต รมช.คมนาคม จากพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้กรุณาให้ผู้ถูกร้องทุกฝ่ายส่งพยานเข้าไปหักล้างจนถึงวันที่ 28 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ที่นัดแถลงปิดคดีวันที่ 2 ธันวาคม โดยส่วนตัวคิดว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยน่าจะพิจารณาแยกเป็น 3 ประเด็น ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ยังหวังว่าพรรคพลังประชาชนจะรอด แต่ถ้าเกินไปกว่านี้ประชาชนคงต้องติดตามตรวจสอบ เพราะศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรหนึ่งที่อยู่ใต้ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้อยู่เหนือรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า กรณีนี้พรรคได้ส่งรายชื่อพยานที่เกี่ยวข้องให้ศาลนัดพิจารณาไต่สวนเพิ่มเติมและถึงแม้ศาลจะรับไว้ แต่กลับไม่อนุญาตให้พยานไปชี้แจง จึงเห็นว่าน่าจะมีกระบวนการที่ผิดปกติส่อไปในทางไม่ยุติธรรม อยากถามว่าศาลต้องการให้กระบวนการหลังวันที่ 2 ธันวาคม กำหนดสิ่งที่จะเกิดในอนาคตหรือไม่ เหตุใดต้องเร่งรีบดำเนินการในภาวะบ้านเมืองขัดแย้งอย่างนี้ เพื่อให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองหรือไม่
"แม้ว-อ้อ" เลือก"เหลิม"นั่งนายกฯ
รายงานข่าวพรรคพลังประชาชน เปิดเผยว่า พรรคประเมินว่าจะถูกยุบอย่างแน่นอน และมีการมองไปถึงตัวนายกรัฐมนตรีข้างหน้า จากเดิมมีแคนดิเดต 4 คน คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย และนายชัย ชิดชอบ แต่จากการหารือของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และแกนนำพรรคเห็นว่า คุณสมบัตินายกฯ คนต่อไปต้องเลือกจากสถานการณ์การเมืองที่เป็นตัวกำหนด ซึ่งสถานการณ์การเมืองขณะนี้เข้าขั้นวิกฤติ ดังนั้น คนที่เป็นนายกฯ คนต่อไปจึงต้องพร้อมที่จะกล้าชน กล้าตัดสินใจเด็ดขาด ซึ่งทำให้คุณสมบัตินี้นายมิ่งขวัญตกไปเพราะถูกมองว่ายังขาดความเด็ดขาด ขณะที่ พ.อ.อภิวันท์ ถูกมองเป็นคนใกล้ชิด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
แหล่งข่าวระบุว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในขณะนี้เท่ากับเหลืออยู่เพียง 2 คน คือ ร.ต.อ.เฉลิม กับนายชัย โดยกลุ่มอีสานใต้สนับสนุนนายชัย เพราะอาวุโสทางการเมือง และมี ส.ส.ในกลุ่มเพื่อนเนวินสนับสนุน แถมยังมีแรงล็อบบี้จากนายเนวิน ชิดชอบ ที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้ง ส.ส.พลังประชาชนที่นายเนวินมีอยู่มากที่สุด แต่นายชัยก็มีข้อเสียที่อายุมาก รวมทั้งหากนายชัยได้ขึ้นเป็นนายกฯ ปัญหาภายในพรรคอาจจะเกิดขึ้นอีก ระหว่างกลุ่มอีสานใต้กับกลุ่มนายยงยุทธ ติยะไพรัช ส่วนกลุ่มภาคกลางสนับสนุน ร.ต.อ.เฉลิม และบางส่วนสนับสนุน พ.อ.อภิวันท์ แต่ ร.ต.อ.เฉลิมโดนบางฝ่ายคัดค้าน เพราะเกรงว่าจะสร้างปัญหาในพรรคได้
รายงานข่าวกล่าวว่า จากการหารือล่าสุด ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เห็นว่าควรสนับสนุน ร.ต.อ.เฉลิม ขึ้นมาเป็นนายกฯ คนใหม่ หากพรรคพลังประชาชนถูกยุบและกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ ซึ่งจะทำให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปโดยปริยาย เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรค
พงศ์เทพไม่รู้"แม้ว"ซุ่มสั่งการที่เกาะกง
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางมาอยู่ที่เกาะกง ประเทศกัมพูชา เพื่อติดตามสถานการณ์การเมืองไทยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดตัดสินคดียุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ในวันอังคารที่ 2 ธันวาคม ว่า ไม่ทราบว่าขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ที่ใด เพราะไม่สามารถติดต่อได้มาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว
นายพงศ์เทพกล่าวด้วยว่า ไม่เคยได้ยินว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะไปประเทศกัมพูชา และไม่เคยได้ยินว่ามีแนวคิดจะไปร่วมลงทุนธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ในประเทศกัมพูชาด้วย
ชี้ศาลรธน.ลุกลนตัดสินคดียุบพรรค
นายพงศ์เทพกล่าวว่า สำหรับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะแถลงปิดคดียุบ 3 พรรคการเมืองในวันที่ 2 ธันวาคมนั้น มองว่าศาลรัฐธรรมนูญลุกลนมากที่เร่งตัดสินคดียุบพรรคโดยเร็ว ส่วนตัวเห็นว่าที่ผ่านมามีอยู่ 2 คดี ที่ศาลรัฐธรรมนูญเร่งปิดคดีเร็วกว่าปกติ คือ คดี "ชิมไปบ่นไป" ของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และคดียุบพรรคพลังประชาชน แต่ในบางคดีที่ต้องเร่งพิจารณากลับดำเนินการล่าช้า
โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวอีกว่า โดยหลักการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญจะต้องให้คู่ความนำเสนอข้อมูล ข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ต่อศาลในการตัดสินคดี จะได้ข้อมูลอย่างครบถ้วนรอบด้านและให้คู่ความเกิดความสบายใจว่า ศาลรับฟังคู่ความ ไม่มีการตั้งธงไว้ก่อน โดยเฉพาะคดียุบพรรคครั้งนี้กระทบต่อบุคคลมากมายและเป็นคดีที่มีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายมาก ประกอบกับมีกรรมการบริหารพรรคที่ได้รับผลกระทบจากการตัดสินคดีดังกล่าว ยื่นขอเป็นคู่ความร่วมด้วย จึงต้องใช้พยานบุคคลพอสมควรเข้ามาชี้แจง ซึ่งศาลจะมาตรัสรู้เองไม่ได้ แต่กลับรีบแถลงปิดคดี ตรงนี้เรียกว่าเป็นการให้โอกาสคู่ความอย่างเป็นธรรมแล้วหรือ นอกจากนี้ยังขอถามไปยังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า สมัยที่ยังเป็นผู้พิพากษาเคยทำแบบนี้หรือไม่ เพราะตามหลักกฎหมายแล้วจะต้องตัดสินคดีโดยไม่มีอคติ ซึ่งถ้าศาลไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้ เราก็ไม่สามารถยอมรับได้เช่นกัน
พปช.เล็งเปิดสภาวิสามัญเลือกนายกฯ
ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก โดยเฉพาะเมื่อศาลรัฐธรรมนูญนัด 3 พรรคการเมืองแถลงปิดคดียุบพรรค ทำให้ ส.ส.ต้องมาเตรียมแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นหากพรรคพลังประชาชนถูกยุบ จะส่งผลให้นายสมชาย ในฐานะรักษาการหัวหน้าพรรคและเป็นกรรมการบริหารต้องพ้นจากตำแหน่ง จึงเห็นว่าในวันที่ 2 ธันวาคมนี้ ส.ส.จะต้องร่วมกันเข้าชื่อเพื่อขอเปิดสภาสมัยวิสามัญ เพื่อให้สภาพิจารณาเลือกบุคคลเป็นนายกฯ ซึ่งจะได้ประสานไปยังประธานวิปรัฐบาลเพื่อประสานไปยังพรรคร่วมรัฐบาล ให้ร่วมกันลงชื่อด้วย ทุกอย่างจะต้องเตรียมพร้อมไว้ เพื่อยื่นรายชื่อต่อประธานรัฐสภาได้ทันที
"เติ้ง"เล็งหัวใหม่ "ชาติไทยพัฒนา"
เมื่อเวลา 09.45 น. นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย เดินทางมายังที่ทำการพรรคชาติไทย ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทั้งนี้ ในวันที่ 2 ธันวาคม นายบรรหารจะเดินทางมายังที่ทำการพรรคชาติไทยเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนจะไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อแถลงปิดคดียุบพรรคด้วยตัวเอง เบื้องต้นมีการเตรียมพร้อมและรับมือกับสถานการณ์ยุบพรรคไว้แล้ว โดยนายบรรหารได้จดชื่อพรรคใหม่ไว้ 3 ชื่อ หนึ่งในจำนวนนั้นมีชื่อ "พรรคชาติไทยพัฒนา" อยู่ด้วย
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะแกนนำพรรคชาติไทย กล่าวถึงกรณีที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน เสนอให้พรรคชาติไทยกับพรรคเพื่อแผ่นดินถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลว่า 2 พรรคยังไม่ได้หารือกันแต่อย่างใด
ส่วนในสถานการณ์อย่างนี้ควรร่วมหัวจมท้ายกับรัฐบาลต่อไปหรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า สถานการณ์เช่นนี้ไม่อยากซ้ำเติมให้การบริหารราชการแผ่นดินต้องสะดุดหรือสั่นคลอนลงไปอีก เพราะไม่ว่าจะถอนตัวหรือไม่ กลุ่มพันธมิตรก็เดินหน้าต่อไปอยู่แล้ว หากพรรคร่วมถอนตัว ยิ่งจะทำให้ความมั่นคงของรัฐบาลถูกสั่นคลอนมากยิ่งขึ้นและจะเป็นปัญหาต่อไปอีก
พผ.ลั่นหากถอนตัวต้องถอนทั้งหมด
นายมั่น พัธโนทัย รมว.ไอซีที ในฐานะรักษาการรองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวว่า หากจะให้พรรคร่วมรัฐบาลหารือกันถึงข้อเสนอแนะที่จะให้ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล เราก็พร้อมหารือเพราะเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ยังอยู่ในรัฐบาล การจะทำอะไรก็ต้องหารือร่วมกัน ซึ่งในการประชุม ครม.วันที่ 2 ธันวาคมนี้ ก็คงจะได้คุยกับนายกฯ พรรคร่วมรัฐบาลทั้งห้าพรรคจะไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน อยู่ก็ต้องอยู่ด้วยกัน
"มันคงไม่ช่วยอะไร ถ้าไปก็ไปหมดดีกว่า" นายมั่นกล่าว
มฌ.เชื่อศาลเลื่อนตัดสินไปหลัง 5 ธ.ค.
พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ รองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย กล่าวว่า นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน หัวหน้าพรรค จะเดินทางไปรับฟังการแถลงปิดคดีด้วยตัวเอง ส่วนแนวทางก็คงจะเป็นไปตามที่เราเคยต่อสู้ แต่รายละเอียดอื่นๆ เราได้เตรียมพยานเพิ่มเติมไว้อีกหลายคน และพยานเอกสารด้วย ซึ่งพอดีจะมีการสรุปปิดคดีเลย ก็คงทำได้แค่แถลงปิดคดี ซึ่งเดิมทีมั่นใจว่าข้อต่อสู้ของเราสู้ได้ แต่เห็นกระบวนการค่อนข้างที่จะรวดเร็ว ก็เลยไม่ค่อยมั่นใจ
ส่วนที่จะมีกลุ่มผู้ชุมนุมไปปิดล้อมศาล ไม่ให้มีการพิจารณาคดีหรือปิดคดีได้ พ.ต.ท.บรรยินกล่าวว่า ไม่ทราบว่าจะมีการไปปิดล้อมหรือไม่ แต่ก็คงเป็นเรื่องที่แต่ละคนอยากจะแสดงออก ถ้าถามกันว่าจะไปหรือเปล่าก็อาจจะมีมวลชนที่สนับสนุนพรรคมัชฌิมาฯ ไปบ้าง เพื่อให้กำลังใจ ส่วนตัวเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคดีหลังวันที่ 5 ธันวาคม เพราะถ้าอ่านก่อนไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เพราะมันใกล้มาก เนื่องจากเรื่องดังกล่าวมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ต่อข้อถามว่า ถ้าจะต้องมีการฟอร์มทีมรัฐบาลใหม่ พรรคมัชฌิมาธิปไตย ยืนยันว่าจะอยู่ร่วมกับพรรคเพื่อไทย หรือไม่ พ.ต.ท.บรรยินกล่าวว่า คงรอดูการตัดสินของศาลก่อนดีกว่าว่าเป็นอย่างไร เราจะไปพูดก่อนคงเป็นไปไม่ได้
ผบ.ทอ.ขู่ละเมิดศาลจัดการเด็ดขาด
พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ กล่าวถึงกรณีที่มีความกังวลว่า คำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญคดียุบพรรค อาจส่งผลให้เกิดความรุนแรงได้ว่า ประเทศเราปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ เพราะฉะนั้นตุลาการเป็นอำนาจของศาลสถิตยุติธรรม ที่จะต้องพิจารณาให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
“ถ้าทุกคนไม่ยอมรับอำนาจตุลาการ หรืออำนาจศาล ประเทศจะวุ่นวายแค่ไหน หากไม่มีกฎกติกา แม้แต่ศาลสั่งก็ยังไม่เชื่อ ก็คงจะต้องดำเนินการในขั้นเด็ดขาด” พล.อ.อ.อิทธพรกล่าว
นปช.เปิดเวที-รับนปช.อาจไปศาล
เวลา 16.00 น. กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้เตรียมเวทีและจัดสถานที่ปราศรัย ที่ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เพื่อทำการปราศรัยเป็นวันที่สองแล้ว หลังจากก่อนหน้านี้ได้สลายการชุมนุม ปล่อยให้ผู้ชุมนุมกลับไปทำงานตามปกติ โดยผู้ชุมนุมซึ่งส่วนใหญ่สวมเสื้อแดงทยอยกันเดินทางมา แต่ดูบางตาไปมากกว่าวันแรก
นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. แถลงว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงตั้งแต่คืนวันที่ 30 พฤศจิกายน จนถึงรุ่งเช้าที่ปิดเวทีในเวลา 06.00 น. แสดงให้เห็นว่าเป็นการชุมนุมอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ ไม่ไปหาเรื่องใคร ทั้งนี้เราจะชุมนุมไปเรื่อยๆ ยกเว้นพันธมิตรเลิกยึดสนามบินเมื่อไหร่ เราก็จะยุติการชุมนุมทันที แต่ก็จะประเมินก่อนว่าจะมีกลุ่มคนทำการบิดเบือนรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ มีอธิการบดีบางมหาวิทยาลัย เรียกร้องให้มีรัฐบาลแห่งชาติ หรือให้มีการงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา รวมถึงมีนายทหารอากาศคนหนึ่งเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา ท่าทีเหล่านี้เราจึงไว้วางใจไม่ได้ ถ้าเกิดขึ้นจริงเมื่อไหร่ ยืนยันว่า กลุ่มคนเสื้อแดงก็พร้อมที่จะออกมาคัดค้านทันที อย่างไรก็ตาม วันที่ 5 ธันวาคม จะหยุดการชุมนุม 1 วัน จากนั้นในวันที่ 6 ธันวาคม อาจมีการขยับขยายไปยังพื้นที่ที่ใหญ่กว่า โดยเฉพาะบริเวณท้องสนามหลวง
นายวีระกล่าวว่า ส่วนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ที่หลายฝ่ายกังวลว่าเราจะไปปิดล้อมรัฐธรรมนูญในวันที่ 2 ธันวาคมนั้น ยอมรับว่า อาจมีกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นสิทธิของเขาตามรัฐธรรมนูญ ที่สามารถซักถามข้อสงสัยจากศาลรัฐธรรมนูญได้ ถ้าศาลชี้แจงได้ก็ไม่มีปัญหา
ทักษิณลั่นจะกลับมาเป็นนายกฯ
หนังสือพิมพ์อาระเบียน บิสิเนส ฉบับวันอาทิตย์ (30 พ.ย.) ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ โดย พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่า ขณะนี้ ตัวเองไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องกลับเข้าสู่แวดวงการเมืองอีกครั้ง และรู้สึกกังวลต่อสถานการณ์ของประเทศในขณะนี้ที่กำลังแย่หนัก ไม่มีทั้งความเชื่อมั่น ต่างชาติไม่ไว้วางใจ และคนยากจนในชนบทกำลังลำบาก
อดีตนายกรัฐมนตรียังแสดงความเชื่อมั่นว่า จะสามารถดึงความเชื่อมั่นกลับคืนสู่ประเทศไทยอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาต้องค้นหากลไกที่จะทำให้กลับเข้าสู่แวดวงการเมืองได้ แต่ยอมรับว่า การกลับสู่การเมืองไทยในขณะนี้เป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป แต่ยืนยันว่า "ถึงเวลาของผมแล้ว"
พ.ต.ท.ทักษิณยังเชื่อมั่นว่าเขาจะได้กลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกครั้ง โดยชี้ว่าในประเทศไทยยังคงมีรัฐประหารอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนรูปจากรัฐประหารของทหาร ไปเป็นรัฐประหารในกระบวนการยุติธรรม แต่เขาคิดว่า ส่วนใหญ่แล้วขึ้นอยู่กับพลังของประชาชน ซึ่งหากผู้คนอยู่ในภาวะที่ลำบาก และต้องการให้เขาช่วยเหลือ เขาก็จะกลับมา