ยิงระเบิดถล่มเวทีพันธมิตร ทำเนียบ-เอเอสทีวีกลางดึกอีก บาดเจ็บเพียบ "จำลอง" กร้าวเจรจากับ "นายกฯ" คนเดียวเท่านั้น ไม่สนคำสั่งศาลปักหลักดอนเมืองต่อไป "สมศักดิ์" แนะ ส.ส.ปชป.ลาออกยกพวง ยืนยันล้านเปอร์เซ็นต์แกนนำไม่มีแตกแยก ยังไม่สรุปหยุดชุมนุม 5 ธ.ค.
ยิงระเบิดถล่มพันธมิตรฯทำเนียบ-เอเอสทีวีเจ็บเพียบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 23.50 น วันที่ 29 พฤศจิกายน เกิดเหตุคนร้ายลอบยิงระเบิดใส่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยใกล้เวทีทำเนียบรัฐบาล จนทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 33 คนและมีผู้บาดเจ็บสาหัสด้วยโดยการ์ดพันธมิตรฯกำลังนำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล และในจำนวนผู้บาดเจ็บมีช่างกล้องของเอเอสทีวีด้วย โดยส่งตัวผู้บาดเจ็บรักษาตัวที่ โรงพยาบาลรามา และโรงพยาบาลวชิระพยาบาล
ทั้งนี้ ลูกระเบิดตกลงในกลุ่มผู้ชุมนุมห่างจากเวทีประมาณ 20 เมตร โดยมีผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า เห็นลำแสงยิงมาจากทางด้านชุมขนใกล้วัดเบญจมบพิตร
เว็บไซต์ผุ้จัดการรายงานด้วยว่า หลังจากนั้นเมื่อเวลา 00.15 นวันที่ 30 พฤศจิกายน คนร้ายได้ยิงระเบิดเข้าใส่สำนักงานเอเสทีวีที่บ้านเจ้าพระยาถนนพระอาทิตย์ จำนวน 2 ลูก พร้อมกับยิงอาวุธสงครามเข้าใส่จากทางแม่น้ำเจ้าหลายนัด หลังจากนั้นมีเสียงยืนปืนตอบโต้กันไปมาเป็นเวลาประมาณ 10 นาที ก่อนที่จะเงียบเสียงไป
"จำลอง"อ้างข่าวตร.สลาย4จุดวันนี้
ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 พฤศจิกายน. ที่เวทีปราศรัยการชุมนุมพันธมิตร บริเวณทำเนียบรัฐบาล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตร กล่าวว่า ทราบข่าวจะมีการสลายการชุมนุม 4 จุด ในวันนี้ (29 พฤศจิกายน) ประกอบด้วย ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานเอเอสทีวี จึงเตรียมการรับมือตั้งแต่เวลา 03.00 น. แล้ว จุดแรกจะสลายคือที่สุวรรณภูมิซึ่งมีตำรวจ อาสาสมัคร ทหารเรือปิดทางเข้า-ออกสกัดคนส่งเสบียงเข้าไปเพิ่ม แต่พันธมิตรได้เจรจาจนตำรวจยอมเปิดทาง และยังมีมาตรการว่าหากตำรวจปิดล้อมที่ไหนจะขนคนจากทำเนียบไปปิดล้อมตำรวจอีกที
"หากตำรวจสลายการชุมนุมวันนี้ เชื่อว่าทุกอย่างจะจบลงวันนี้ แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นรูปแบบใด แต่ที่คาดหวังไว้ก็คือนายกฯต้องลาออก ผมไม่กลัวเหตุการณ์ซ้ำรอยวันที่ 7 ตุลาคม เพราะว่าตำรวจมีบทเรียนแล้ว คงไม่กล้าทำอีก"
พล.ต.จำลองกล่าวว่า สำหรับเรื่องการเจรจา ตอนนี้ยังสามารถทำได้ แต่ต้องติดต่อกับผู้เกี่ยวข้องโดยตรงคือนายกรัฐมนตรี หากติดต่อมาแกนนำพร้อมเจรจาด้วย ส่วนการปลด ผบ.ตร. (ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) อาจเป็นเพราะไม่ทำตามคำสั่งรัฐบาลที่ให้สลายการชุมนุม ขณะนี้ไม่กลัวการสลายการชุมนุม เพราะเตรียมแกนนำไว้ 3 รุ่นแล้ว
พธม.เมินศาลสั่งปักหลักดอนเมืองต่อ
สำหรับบรรยากาศที่อาคารผู้โดยสารขาออกภายในประเทศ สนามบินกรุงเทพ (ดอนเมือง) ในช่วงเช้ายังคงมีผู้ชุมนุมพันธมิตรจำนวนมากปักหลักต่อเนื่อง บนเวทีมีการปราศรัยของบรรดาแกนนำพันธมิตร อาทิ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นางมาลีรัตน์ แก้วก่า อดีต ส.ว.สกลนคร สลับการแสดงดนตรี โดยช่วงเช้านายสมศักดิ์ให้ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ หลังมีข่าวว่าตำรวจและทหารเรือตั้งด่านปิดเส้นทางไม่ให้พันธมิตรเข้าร่วมและหลังจากเสร็จภารกิจให้กลับมาชุมนุมที่สนามบินดอนเมืองต่อไป
เวลา 08.30 น. นายสมศักดิ์ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาพบบุคคลต้องสงสัยพกระเบิดปิงปอง และพบบัตรสมาชิกนักการเมืองซึ่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ยืนยันว่าพันธมิตรจะปักหลักชุมนุมที่นี่ต่อไป สำหรับหมายศาลที่มีคำสั่งให้กลุ่มพันธมิตรออกจากสนามบินดอนเมืองนั้น หากหมายศาลมาแปะไว้ในจุดต่างๆ ที่นี่ก็ให้เจ้าหน้าที่ทำตามหน้าที่ไป จะชุมนุมต่อไม่กลัวอะไรจะเกิดขึ้น เชื่อว่ารัฐบาลจะจบก่อน เนื่องจากวันที่ 2 ธันวาคม ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการพิจารณาคดียุบ 3 พรรค หากภายหลังมีคำพิพากษาแกนนำพันธมิตรจะหารืออีกครั้ง ส่วนการปลด ผบ.ตร.นั้น เป็นเพราะเกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับตำรวจ
จับสันติบาลหญิงเก๋แฝงตัวร่วมม็อบ
เวลา 11.30 น. การ์ดพันธมิตรดอนเมืองได้จับกุมหญิงต้องสงสัยคนหนึ่งสวมชุดผ้าไหมกระโปรงยาวสีส้ม ซึ่งดูแตกต่างจากผู้ชุมนุมทั่วไปเป็นอย่างมาก ขณะเดินอยู่บริเวณหน้าทางเข้าและบอกผู้ที่มาร่วมชุมนุมว่า อย่าเข้าไปจะมีการสลายการชุมนุม พร้อมนำตัวหญิงดังกล่าวไปสอบสวนบริเวณหลังเวทีปราศรัย ต่อมาอีก 30 นาที การ์ดพันธมิตรได้ควบคุมตัวหญิงสาวขึ้นไปบนเวทีปราศรัย ซึ่งนางมาลีรัตน์ได้ประกาศบนเวทีว่า หญิงสาวคนนี้ปลอมตัวเข้ามาพื้นที่ชุมนุมตรวจสอบภายในตัวมีบัตรข้าราชการ ระบุชื่อ ร.ต.ต.สุภาพ อันทับทิม สังกัดตำรวจสันติบาล และขอให้ผู้ชุมนุมจดจำหญิงสาวคนนี้ไว้ ป้องกันไม่ให้แฝงตัวเข้ามาอีกจากนั้นหญิงสาวคนดังกล่าวได้กล่าวบนเวทีด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ขอให้ผู้ที่ได้เข้ามาด้วยกันเดินทางกลับบ้าน เพราะอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว และอยากกราบขอโทษผู้ชุมนุมทุกคน เนื่องจากไม่รู้จริงและไม่ได้ตั้งใจเข้ามาต่อมาการ์ดพันธมิตรได้นำตัวหญิงสาวออกนอกพื้นที่ แต่ระหว่างทางมีผู้ชุมนุมพันธมิตรเดินตรงเข้ามาสาดน้ำใส่หน้าและตะโกนขับไล่ด้วยถ้อยคำรุนแรง และบางคนบันทึกภาพด้วยกล้องโทรศัพท์ จนการ์ดพันธมิตรต้องกันผู้ชุมนุมเข้าทำร้ายแล้วให้ขึ้นรถแท็กซี่ริมถนนวิภาวดีฯ โดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น
เผยผู้บงการอยู่สะพานใหม่จ้าง
ด้านนางมาลีรัตน์กล่าวว่า หญิงสาวคนดังกล่าวมาอยู่ที่ชุมนุมตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน พยายามชักจูงให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ สอบสวนทราบว่าได้รับค่าจ้างวันละ 600 บาท ส่วนบัตรที่สวมเครื่องแบบข้าราชการ อ้างว่าทำมาจากร้านถ่ายรูป และอ้างนามบัตรระบุชื่อ ดร.ไพบูลย์ อังคเศกวิไร เป็นผู้ทำให้ ส่วนข้อเท็จจริงทราบแล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์อยู่ในพื้นที่สะพานใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบัตรที่หญิงคนดังกล่าวนำมาอ้างนั้น เป็นกระดาษสีขาวเคลือบพลาสติค ระบุว่าเป็นบัตรประจำตัวทหารผ่านศึกนอกประจำการ สังกัดตำรวจ ยศ ร.ต.ต. เป็นที่หน้าสังเกตว่าไม่มีคำว่าหญิงนำหน้า รวมถึงรายละเอียดออกบัตรระบุวันที่ออกบัตร 12 มีนาคม 2552
"สมศักดิ์"แนะประชาธิปัตย์ลาออก
เวลา 15.40 น. นายสมศักดิ์ให้สัมภาษณ์ถึงการเจรจากับรัฐบาลว่า ยังคงยึดหลักการเดิม คือ นายกรัฐมนตรี ต้องลาออกก่อนถึงจะพูดคุย ตอนนี้เริ่มมี ส.ส.บางคนลาออกจากตำแหน่ง ถ้ารัฐบาลไม่ลาออก พรรคประชาธิปัตย์ก็ควรลาออกจากการเป็นฝ่ายค้านด้วย เพื่อให้รัฐบาลบริหารประเทศต่อไปไม่ได้ หลายประเทศ อาทิ อังกฤษ ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ ผู้นำประเทศจะลาออกเมื่อมีเสียงเรียกร้องจากประชาชน หากรัฐบาลลาออกสถานการณ์การเมืองจะคลี่คลาย อย่าอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งจากประชาชน
"ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ให้กลุ่มพันธมิตรออกจากสนามบินทั้ง 2 แห่งเพราะรัฐบาลชุดนี้มีความชอบธรรม มาจากการเลือกตั้ง แต่ที่ผ่านมาพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กลับไม่ยอมทำตามกฎหมายและหนีคดีอาญา ส่วนกระแสข่าวที่ออกมาว่าแกนนำพันธมิตรเสียงแตกนั้น ขอยืนยันว่าไม่แตกแยกกันล้านเปอร์เซ็นต์"
พร้อมสู้เมินแถลงจัดการดอนเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีการเลือกตั้งใหม่และพรรคพลังประชาชนกับมาใหม่จะกลับมาชุมนุมอีกหรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า เชื่อว่าพรรคพลังประชาชนจะไม่สามารถกลับมาได้อีก เพราะประชาชนมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น และจะเลือกคนที่ไม่โกงการเลือกตั้ง ซึ่งหากรัฐบาลชุดใหม่ไม่ซื้อเสียง กลุ่มพันธมิตรพร้อมยอมรับ
นายสมศักดิ์กล่าวว่า พันธมิตรไม่สนใจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่จะให้ออกจากสนามบินดอนเมือง เพราะเป็น พ.ร.ก.ฉุกระหุกเพื่อสำเร็จความงมงายในอารมณ์ของตนเอง หากจะมาคิดปราบประชาชน พวกเราก็พร้อมจะสู้ เมื่อถามย้ำว่า ตำรวจออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 เพื่อจัดการกับพันธมิตร นายสมศักดิ์กล่าวว่า ไม่สนใจและไม่กลัวอะไร มันเป็นเพียงเศษกระดาษที่เปื้อนน้ำหมึก จะประกาศมาอีกร้อยฉบับก็ได้แกนนำยังไม่สรุปหยุดชุมนุม5ธ.ค.
ผู้สื่อข่าวถามว่า พันธมิตรจะชุมนุมถึงวันที่ 5 ธันวาคม หรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะหยุดเมื่อไร แต่ยุทธการจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ส่วนจะยืดเยื้อถึงงานพระราชพิธีหรือไม่ แกนนำต้องประชุมก่อน เชื่อว่าความจงรักภักดีอยู่ในใจ จึงไม่จำเป็นต้องไปสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณ เนื่องจากมีบางคนที่พูดไปแล้วและไม่ยอมนำไปปฏิบัติ แต่ยืนยันว่าจะมีการเคลื่อนผู้ชุมนุมจากสนามบินดอนเมืองไปรวมกันที่ทำเนียบรัฐบาล สำหรับการดาวกระจายนั้นยังคงมีต่อไป แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะเคลื่อนไปที่ใด ส่วนผลการสำรวจที่ออกมาว่าความนิยมของกลุ่มพันธมิตรลดลงหลังจากปิดสนามบินนั้นเป็นเพียงผลสำรวจเฉพาะคนบางกลุ่ม จึงอยากให้มาสำรวจประชาชนที่เข้าร่วมกับพันธมิตรบ้าง ถือเป็นการทำโพลที่ห่วยแตก
ม็อบผวาฮ.ตร.บินสังเกตการณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานในช่วงบ่ายว่า มีผู้ชุมนุมฟังการปราศรัยบางตา ส่วนใหญ่พักผ่อนเนื่องจากเหนื่อยล้า จนกระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. มีเฮลิคอปเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บินวนสังเกตการณ์บริเวณพื้นที่ชุมนุมสนามบินดอนเมืองจำนวน 2 ลำ ทำให้การ์ดพันธมิตรที่วางกำลังบริเวณรอบพื้นที่ นำกล้องส่องทางไกลมาสังเกตการณ์ ขณะที่ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ต่างตื่นตระหนก พร้อมทั้งใช้มือตบมาเขย่าและตะโกนโห่ไล่ นอกจากนี้ภายในอาคารผู้โดยสารขาเข้า ได้มีการใช้ห้องน้ำชั้น 2 เนื่องจากชั้นล่างไม่เพียงพอ โดยอนุญาตให้เฉพาะผู้หญิงขึ้นไปใช้บริการเท่านั้น นอกจากนี้การ์ดพันธมิตรยังนำถุงดำคุมตรงจุดที่มีกล้องวงจรปิดทุกจุดในอาคารผู้โดยสารขาเข้า เพื่อไม่ให้กล้องบันทึกภาพได้
ตร.ระดมตั้งด่านสกัดเข้าสุวรรณภูมิ
ส่วนสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรที่ยังปักหลักยึดสนามบินสุวรรณภูมินั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา01.30 น. กองกำลังตำรวจปราบจลาจล จากกองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 (บช.ภ.1) 5 กองร้อย ในชุดเครื่องแบบสีกรมท่าพร้อมอาวุธสงครามครบมือ นั่งรถตู้กรมตำรวจนับ 10 คัน วิ่งเข้ามายังอาคารสำนักงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่วนกองกำลังอีก 4 กองร้อย กระจายอาศัยอยู่ภายในตัวตึกตลอดทั้งคืน กระทั่งตอนเช้าถึงได้ถอนกำลังออกไป ขณะเดียวกันบริเวณรอบนอกตลอดเส้นทางเข้า-ออกสนามบินสุวรรณภูมิ กำลังตำรวจ กองสารวัตรทหารเรือและเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการป้องกันภัยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สนธิกำลังตั้งด่านตรวจสกัดตรวจค้นอาวุธและสิ่งผิดกฎหมายพร้อมห้ามนำรถยนต์เข้าภายในสนามบินสุวรรณภูมิ
พธม.ยกพลทลายด่านหวิดปะทะ
เวลา 06.30 น. ที่ชั้น 5 หน้าอาคารที่พักผู้โดยสารขาออกสนามบินสุวรรณภูมิ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตร กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า ตำรวจจะเข้าสลายม็อบพันธมิตรที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมืองขอให้ผู้ชุมนุมอย่าหวาดกลัวและให้ต่อสู้ต่อไป และยังตั้งด่านตรวจบริเวณรอบนอกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สกัดเสบียงอาหารที่ผู้สนับสนุนส่งให้กับผู้ชุมนุม
เวลา 09.30 น. เกิดเหตุการ์ดของพันธมิตรจำนวนนับร้อยภายในสนามบินสุวรรณภูมิ นำกำลังทลายด่านตรวจของ สภ.ราชาเทวะ ตั้งอยู่ด้านหน้าอาคารคลังสินค้าใกล้สำนักงานไปรษณีย์ สาขาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ถนนแยกบางนา-ตราด ขาเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และบริเวณขาออกถนนลาดกระบัง ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ทำให้ตำรวจประจำด่านตรวจต้องถอยร่น จากนั้นการ์ดพันธมิตรปล่อยลมยางรถ 6 ล้อที่ขนผู้ต้องขังจำนวน 10 คัน
ผู้แสวงบุญหวั่นไปพิธีฮัจญ์ไม่ทัน
นายมุสตาฝา อุมุ อายุ 56 ปี ชาว จ.ยะลา หนึ่งในผู้แสวงบุญที่เตรียมเดินทางไปเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ประเทศซาอุดีอาระเบียให้สัมภาษณ์ที่สนามบินสุวรรณภูมิว่า ผู้แสวงบุญหลายคนมีความกังวลและสับสน เพราะถึงบัดนี้เป็นวันที่สามแต่ยังไม่สามารถออกเดินทางได้ เจ้าหน้าที่การท่าอากาศยานฯไม่ให้คำตอบชัดเจน อีกทั้งในวันที่ 2 ธันวาคม ซาอุดีอาระเบียจะปิดรับผู้เข้าประกอบพิธีฮัจญ์ ก่อนมีพิธีจริงในวันที่ 8 ธันวาคม
แหล่งข่าวแจ้งว่า หลังจากการท่าอากาศยานฯแจ้งผู้แสวงบุญว่ามีคำสั่งระงับเที่ยวบินชั่วคราว ทอท.ประสานไปยังสายการบินอิหร่านซึ่งเป็นเครื่องบินที่ผู้แสวงบุญเช่าเหมาจำนวน 3 ลำ ให้มารับแต่ได้รับการปฏิเสธ ทำให้ผู้แสวงบุญตกค้างภายในสนามบิน อย่างไรก็ตาม การท่าอากาศยานฯประสานไปยังสายการบินไทยนำผู้แสวงบุญไปขึ้นเครื่องบินที่อู่ตะเภา จ.ระยอง ไปยังสนามบินกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย
ยิงระเบิดถล่มเวที พธม.ทำเนียบ-ASTVกลางดึกอีก เจ็บเพียบ -จำลองกร้าวเจรจากับนายกฯคนเดียว
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวการเมือง ยิงระเบิดถล่มเวที พธม.ทำเนียบ-ASTVกลางดึกอีก เจ็บเพียบ -จำลองกร้าวเจรจากับนายกฯคนเดียว