คำต่อคำ : ´ทักษิณ´ระบุบ้านเมืองวุ่นเพราะคน´มีบารมี´นอกรธน.

กรุงเทพธุรกิจ

29 มิถุนายน 2549 17:49 น.
"ทักษิณ"ลั่นเป็นนายกฯต่อไป เพื่อรักษาประชาธิปไตย ระบุความวุ่นวายเกิดจากคนไม่รักษาหน้าที่ องค์กรนอกรัฐธรรมนูญเข้ามาวุ่นวาย

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : เมื่อเวลา 14.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ เพื่อชี้แจงแนวทางการปฏิบัติงานในช่วงรัฐบาลรักษาการ โดยมีรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง อธิบดี และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม มีรายละเอียดดังนี้

ที่เชิญมาพบปะกันเพราะ เหตุการณ์บ้านเมืองช่วงนี้ทำให้เกิดความเสียหาย จึงต้องหาแนวทางในการพัฒนาประเทศขับเคลื่อนต่อไป ซึ่งช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาความสามารถเฉพาะตัวของบุคคล ยังไม่ถูกถ่ายทอดเป็นระบบการบริหารจัดการที่ดีเข้ากับหน่วยงาน เป็นปัญหาถ้าปล่อยให้ล่าช้าจะเป็นห่วงมาก เพราะข้าราชการมือดีจะเกษียณไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า การถ่ายทอดสิ่งที่เป็นความสามารถพิเศษ หรือประสบการณ์พิเศษเข้าหน่วยงานนั้น ๆ ยังไม่เข้มแข็ง เห็นข้าราชการหลายคนจะเกษียณ ตนก็ใจหายเหมือนกัน แต่ตนไม่ได้ใจหายว่าตนจะอยู่ต่อหรือไม่อยู่ ไม่เกี่ยว แต่ใจหายสำหรับประเทศที่ควรมีการทำให้ความรู้อยู่กับสถาบันหรือองค์กรให้มากที่สุด

ขอขอบคุณทุกคนที่แสดงพลังความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี รวมถึงการจัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติ์ของทุกหน่วยงาน และการเชิญชวนประชาชนเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 9 มิถุนายน การถวายการต้อนรับ และการรักษาความปลอดภัยพระราชาธิบดี พระราชินี และพระราชวงศ์ต่าง ๆ ที่เสด็จมาร่วมงาน ซึ่งทุกคนทำงานด้วยความเข้มแข็ง นอกจากนี้ปลายปีนี้จะเข้าสู่วาระการเฉลิมฉลองเนื่องในวาระที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนม์พรรษาครบ 80 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 ซึ่งจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการฯ ขึ้นเตรียมงาน

วันนี้อยากเน้นย้ำถึงสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำในช่วงนี้ อยากเน้นย้ำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในการเสด็จออกมหาสมาคม เพื่อรับการถวายพระพรชัยมงคล เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 4 ข้อ 1.การที่ทุกคนคิด พูด ทำด้วยความเมตตา มุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน 2.แต่ละคนช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ประสานงาน ประสานประโยชน์ให้งานที่ทำสำเร็จผลทั้งแก่ตน แต่ผู้อื่นและประเทศชาติ 3.ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริต ในกฎกติกา และในระเบียบแบบแผนโดยเท่าเทียมเสมอกัน 4.ต่างคนต่างพยายามทำความคิด ความเห็นของตนให้ถูกต้อง เที่ยงตรงและมั่นคง อยู่ในเหตุในผล หากความคิดจิตใจและการประพฤติปฎิบัติลงรอยเดียวกันในทางที่ดีที่เจริญ ยังมีพร้อมมูลอยู่ในกายในใจของคนไทย ก็มั่นใจได้ว่าประเทศชาติจะดำรงมั่นคงอยู่ตลอดไปได้

เราในฐานะข้าราชการ ในฐานะเป็นตัวแทนประชาชนในภาครัฐ จะต้องรับพระราชดำรัสทั้ง 4 ประการใส่เกล้าฯ นำไปสู่การปฏิบัติ พระราชดำรัสดังกล่าวจะสามารถตอบปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยได้อย่างดี เพราะทุกคนต้องรู้หน้าที่ ของตัวเอง คิดดี ทำดี พูดดี และตัดสินใจดี อยู่ในระเบียบแบบแผน จริยธรรม คุณธรรม ถ้าหากว่าคนไทยทุกคน โดยเฉพาะหัวหน้าส่วนราชการ รวมทั้งทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทำแบบนี้คงไม่มีเรื่องยุ่ง ๆ อย่างวันนี้เกิดขึ้น เรื่องยุ่ง ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะหลายคนไม่รู้หน้าที่ของตนเอง ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง หลายคนไปยุ่งกับหน้าที่ของคนอื่น หลายคนไม่มีอำนาจหน้าที่ แต่ชอบไปสั่งการในเรื่องของคนอื่น ก็เป็นสิ่งที่ทำให้วุ่นวายหมด

อยากเน้นย้ำรัฐธรรมนูญมาตรา 70 บอกว่า บุคคลที่เป็นข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ มีหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม อำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ประชาชน แต่วันนี้ที่มีปัญหาเพราะหลายฝ่ายไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง มาตรา 215 บอกว่า กรณีรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง อันเกิดจากการยุบสภา หรือหมดวาระ ต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่จนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ จะเข้ารับหน้าที่ รัฐธรรมนูญใช้คำว่าต้อง เพราะฉะนั้นไล่ก็ไปไม่ได้ เพราะต้องอยู่ นี่คือระบอบประชาธิปไตย ตนสมัยเป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นพี่คงจำได้ ก่อนเข้าห้องเรียนเราบอกว่าตายซะดีกว่า ละทิ้งหน้าที่ เพราะฉะนั้นเราละทิ้งหน้าที่ไม่ได้ ก็ต้องทำหน้าที่ต่อไป

อยากบอกเพื่อนข้าราชการทั้งหลายว่า เราจะต้องทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ผมไม่อยากให้ท่านต้องไปวิตกกับความสับสนวุ่นวายทางการเมืองในวันนี้ ไม่ใช่หน้าที่ของราชการ ที่จะต้องไปห่วงความวุ่นวายทางการเมือง หน้าที่หลักของท่านคือทำหน้าที่ของท่านตามมาตรา 70 และรับพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ใส่เกล้าฯ และทุกอย่างจะเรียบร้อย คนที่ไม่รู้จักหน้าที่ ก็ต้องจัดการให้รู้จักหน้าที่ ทุกอย่างก็จะจบไม่มีอะไรเลย วันนี้ที่มันยุ่งกัน เพราะว่าเราไปสนใจข่าวลือ ไปให้ความสำคัญข่าวลือ ไม่ให้ความสำคัญกับกติกาเท่าที่ควร จึงอยากขอว่า ให้ทุกคนตระหนักและช่วยกันทำงานต่อไป

ความวุ่นวายเกิดจากหลายอย่าง เมื่อใดองค์กรตามปกติถูกองค์กรที่นอกระบบครอบงำ หรือมีอิทธิพลมากกว่าองค์กรปกตินั้นวุ่นวาย หรือถ้าจะแปลชัดๆ คือวันนี้องค์กรนอกรัฐธรรมนูญ คือบุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป ไม่เคารพกติกา หลายฝ่ายหลายองค์กร ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองตามหน้าที่ที่ต้องทำ บางคนไม่พอใจกติกาแต่จะขอให้แก้กติกานอกระบบประชาธิปไตย นอกระบบรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นไปไม่ได้ ผู้เสียผลประโยชน์ใช้กฎหมู่ แต่ไม่มีคนบังคับใช้กฎหมาย ในที่สุดก็กลายเป็นเรื่องการสร้างความวุ่นวาย แล้วก็มีการสร้างผลประโยชน์จากการสร้างปัญหา เรายังขาดการเคารพในระบอบประชาธิปไตย เรื่อง 1 เสียง ต่อ 1 คน บางคนยังเข้าใจว่าตัวเองมีความสำคัญมากกว่าคนจำนวนมาก เพราะฉะนั้นเสียงของตัวเองต้องดัง มีความหมายกว่าเสียงคนอื่น ไม่เคารพการตัดสินใจของประชาชน มีคนอยากเป็นนายกฯ มาตรา 7 ทั้งๆที่มีกระแสพระราชดำรัสฯ รับสั่งแล้วว่ามาตรา 7 นั้น ไม่เป็นประชาธิปไตย ก็เลยทำให้เกิดความวุ่นวาย


ในช่วงที่นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ และนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตเลขาธิการ ครม. มาขอลาออก ก็ยังพูดกับตนถึงแรงจูงใจที่มีคนมาขอให้ออก ยังพูดถึงความพยายามในการที่จะมีรัฐบาลชั่วคราว แก้รัฐธรรมนูญก่อนจึงจะมีการเลือกตั้ง สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่เป็นประชาธิปไตย บางองค์กร หัวหน้าองค์กรถึงขนาดยอมทำให้ระบบองค์กรของตัวเองเสียเพื่อที่จะทำตามนโยบายผู้ที่ร้องขอบางราย


สังคมมีแต่ข่าวลือ วันนี้ข่าวลือปล่อยออกมาไม่รู้จะปล่อยอย่างไร ครั้งแรกมีการปล่อยข่าวลือครั้งละ 2-3 ข่าว ผมก็เริ่มเครียด แต่พอเป็นข่าวลือที่ 4-5-6 ก็รู้สึกเริ่มเฉยๆ แต่พอเป็นข่าวลือที่ 8-9-10 ผมก็ขำ มันเยอะจนจะบ้ากันไปแล้วสังคมไทย ไม่รู้ทำไมข่าวลือจึงเยอะเหลือเกิน วิธีการทำร้ายกันคือการปล่อยข่าวลือทุกรูปแบบ และการที่ผมมาเล่าให้ฟังก็เพราะต้องการให้ข้าราชการเป็นหลัก ถ้ายังจำกันได้ในปี 2544 ที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก ได้เชิญประชุมข้าราชการและบอกว่าข้าราชการต้องเป็นหลักของประเทศ ทั้งหลักคิด หลักกฎหมาย หลักกติกา การเมืองมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวมาเดี๋ยวไป ดังนั้นถ้าข้าราชการไม่เป็นหลักประเทศก็เหนื่อย วันนี้ผมจึงขอเรียกร้องว่าขอให้ข้าราชการทุกคนยึดหลักให้มั่น กลับมาสู่ภาวะหลักชัยของประเทศไม่เช่นนั้นก็จะเหนื่อย เพราะวันนี้เกิดผู้รู้ทั้งๆที่ความจริงไม่รู้เยอะมาก แข่งกันเสนอความคิดของตัวเอง แต่ทิ้งความจริง ทิ้งตัวเลข ทิ้งกรวิจัย อยู่กับความเห็น ความรู้สึกมากจนไม่รู้ว่าความถูกต้องคืออะไร วันนี้ต้องอยู่บนโลกของความจริง ทิ้งความปั่นป่วน ความวุ่นวาย

วันนี้ไม่ต้องห่วงการเมืองเพราะอย่างไรระบอบการเปลี่ยนถ่ายทางการเมืองจะทำได้ในโลกยุคปัจจุบันคือต้องผ่านกระบวนการทางประชาธิปไตยเท่านั้น ตนจะไม่ยอมให้การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ไม่ผ่านกระบวนการประชาธิปไตยเด็ดขาด ตนจะปกป้องประชาธิปไตยของชาติเพราะถือว่าโลกยุคใหม่ให้คุณค่ากับคำว่าประชาธิปไตยสูงมาก เมื่อเราเป็นประชาธิปไตยมาขนาดนี้เพราะฉะนั้นใครก็ตามจะนำพาประเทศถอยหลังเข้าคลองโดยทิ้งประชาธิปไตยตนไม่ยอมเด็ดขาด ตนจะปกป้องประชาธิปไตยด้วยชีวิต เพราะฉะนั้นความพยายามใดๆที่จะทำให้ประชาธิปไตยของประเทศไทยสูญเสียในขณะที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรีตนไม่ยอมเด็ดขาด ดังนั้นข้าราชการทุกคนไม่ต้องวิตกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบไม่เป็นประชาธิปไตยในช่วงนี้


การที่ผมพูดอย่างนี้ไม่ใช่เพราะยึดติดกับตำแหน่งนายกฯ แต่เป็นเพราะผมมุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ลัทธิอื่น ระบบอื่นเกิดไม่ได้ตราบใดที่ตนยังอยู่ เพราะฉะนั้นระบบการปล่อยข่าวว่าจะมีคนมาเป็นนายกฯ มาตรา 7 นั้นไม่ต้องวิตกหรือเกร็งว่าการทำงานจะไปขัดใจใคร ขอให้ทุกคนทำงานไปตามหน้าที่ ไม่ต้องห่วง ผมจะเป็นนายกฯ หรือไม่ ไม่สำคัญ แต่ระบอบประชาธิปไตยต้องอยู่กับประเทศไทย การเลือกตั้งต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับนี้ใครไม่ชอบเพราะแพ้การแข่งขัน ถ้าอยากจะแก้ก็ต้องแก้ด้วยระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่จะแก้ด้วยวิธีอะไรก็ได้ เหมือนฟุตบอลถ้าแพ้แล้วแก้กติกาอยู่เรื่อยๆ การแข่งฟุตบอลคงไม่ดังถึงขนาดนี้ และคงไม่มีใครเล่นด้วย เพราะฉะนั้นประเทศต้องมีกติกาที่เป็นสากล เป็นที่ยอมรับและเคารพ แต่ถ้ามันมีปัญหาก็ต้องแก้อย่างเป็นระบบ เช่นเดียงกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีข้อตำหนิที่จะต้องได้รับการแก้ไขแน่นอน แต่ต้องผ่านกระบวนการทางรัฐสภา

ขอให้ข้าราชการทุกคนจงทำงานต่อไป โดยไม่ต้องเหลียวซ้ายแลขวาทางการเมืองใด ๆ สำหรับคนเลวกติกามีไว้ให้เลี่ยง แต่สำหรับคนดีกติกามีไว้ให้ปฏิบัติ แต่เมื่อไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย คนพาลได้ดี คนดีเสียหาย วันนี้การบังคับใช้กฎหมาย การทำหน้าที่ของตัวเองในกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบมีปัญหา ซึ่งตนไม่ได้ว่าหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง คำว่าระบบถ่วงดุลได้กลายเป็นระบบดึงแข้งดึงขา เพราะฉะนั้นต้องทำให้เกิดความถ่วงดุลให้ได้ ระบบการตัดสินใจมีอยู่ 3 ประเภท คือ1. คนดีรอธง ไม่มีธงไม่ทำ ตนอยากถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อกติการะเบียบมีอยู่แล้วทำไมต้องรอธง ขอร้องว่าให้ทำตามกติกา 2.คนขี้ขลาด ไม่ทำอะไรเลย หลบ ๆ ซ่อน ๆ เพราะกลัวการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เดี๋ยวตัวเองจะพลาด 3.คนคอรัปชั่น รอเงิน ถึงจะตัดสินใจ ซึ่งตนคิดว่าแย่ จึงต้องแก้ ถ้าไม่แก้ตอนนี้ตาย จึงอยากขอร้องว่าภาคราชการวันนี้ ต้องเป็นหลักที่เข้มแข็ง ต้องพยายามทำให้เกิดความปรองดอง โดยมองชาติเป็นสำคัญ ประเภทต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำ พวกใครพวกมันอย่างนี้ไม่ได้


วันนี้ที่เชิญหัวหน้าส่วนราชการมาเพราะต้องการที่จะขอร้อง และเรียกร้องว่านอกจากข้าราชการจะต้องเป็นหลักในสังคมแล้ว ก็ต้องยึดหลักกฎหมาย ยึดหลักอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด ขอให้ทำตามหน้าที่ ไม่ต้องรอธง และไม่ต้องกลัวการเมือง เพราะรัฐธรรมนูญในมาตรา 70 บัญญัติไว้ชัดเจนว่าข้าราชการต้องทำตัวเป็นกลางทางการเมือง


ผมท้าข้าราชการทุกคนได้เลยว่าให้ยกมือได้เลยว่าผมเคยสั่งให้ใครทำอะไรไม่ดีบ้าง ผมไม่เคยสั่งให้ใครทำไม่ดี แต่แน่นอนว่าย่อมเกิดความบกพร่องในการบริหารดูแลครอบคลุมไม่ทั่วถึงต้องมีแน่ แต่การสั่งให้ใครทำไม่ดีนั้น ผมไม่เคย และไม่อยู่ในสมอง ไม่อยู่ในใจ ดังนั้นขอให้ข้าราชการทุกคนทำงานอย่างตรงไปตรงมา ถ้าหากอยากเอาใจผมในทางการเมืองก็ขอให้ทำแบบตรงไปตรงมาอย่างมีประสิทธิภาพ ตามกฎหมายที่กำหนด ถือเป็นการเอาใจแล้ว ไม่ต้องดูธง ใครแอบไปสั่งราชการขอร้องว่าอย่าปฏิบัติตาม วันนี้ขอร้องทั้งคนแอบสั่ง คนสั่ง และคนปฏิบัติถือว่าไม่ถูกต้อง วันนี้คนที่บ่นคือคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่มีคนบอกว่าอำนาจมาก และเผด็จการ ถ้าผมมีอำนาจมากและเผด็จการผมคงไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น แต่อำนาจที่ผมมีอยู่นั้นเป็นอำนาจในระบอบประชาธิปไตย การสั่งการจึงไม่สามารถสั่งได้ตลอดเวลาในทุก ๆ เรื่อง และการที่วันนี้ผมบ่นมากก็เป็นเพราะว่าช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงทีอึมครึมของประเทศ

บางคนโทษดวงเมือง บางคนบอกว่าดาวเสาร์โคจรมาอยู่ราศีกรกฎ 30 ปีมีครั้งหนึ่ง เที่ยวนี้เลยวุ่น ซึ่งบางคนก็บอกว่าจะวุ่นต่อไปอีกจนถึงเดือนต.ค. ผมคิดว่าจะว่าถึงทฤษฎีไหนก็ตาม แต่ทฤษฎีที่แน่นอนที่สุดคือทุกคนต้องทำหน้าที่ของตัวเอง เคารพกติกา ยึดกระแสพระราชดำรัส ยึดมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ แล้วทุกอย่างจะคืนสู่สภาพเดิมเร็วมาก ดาวเสาร์จะอยู่ จะไปไม่เป็นไร แต่ประเทศไทยต้องอยู่ตลอดไปชั่วกัลปวสาน ตัวผม รัฐบาลมีเทอม มีวาระ ข้าราชการหลายคนกำลังจะเกษียณ แต่ของผมหมดวาระแล้ว เพราะยุบสภาฯแล้ว เลือกตั้งก็แล้วแต่ประชาชน ถ้าเลือกต่อก็มาทำหน้าที่ ถ้าไม่เลือกก็ต้องเคารพ เมื่อกติกามีอยู่ ทุกคนเคารพกติกาก็จบ แต่วันนี้มีคนพยายามไม่เคารพและปฏิบัติตามกติกาเยอะเหลือเกิน มันจะเป็นอะไรไปถ้าเราสู้ความจริง จะไปกลัวทำไม ตรงไปตรงมาดีที่สุด

วันนี้ที่ห่วงคือประเทศเวียดนามที่คนบอกว่าห่างจากไทยมาก ขณะนี้มาแรง เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก และที่เราบอกว่าไม่แข่ง คนอื่นบอกว่าคุณไม่แข่ง ก็จะจับให้คุณแข่ง แต่เราล่อกันเองเหวอะหวะหมด แล้วจะไปแข่งกับใคร เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่จะต้องหันกลับมาหากันแล้ว ว่าทำอย่างไรทุกคนจะรู้หน้าที่ของตัวเองและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เวียดนามและจีนที่มาแรง เพราะ ระบบบริหารการจัดการ และระบบงาน กติกาในการทำงานร่วมกัน หลักการบริการ ยึดระบบ และการจัดการ และนำผลลัพธ์เป็นเป้าหมาย แต่เรากำลังจมอยู่ ซึ่งตนพยายามงัด แต่เป็นเรื่องยาก เวียดนาม จีนยึดระบบ และ การจัดการ ส่วนของไทยยึดคำว่ากฎหมาย และการเมือง และแทนที่จะยึดผลลัพธ์ เรายึดกระบวนการแทน ไม่สนใจรายละเอียด สรุปแล้ว แก่นไม่เอา ๆ กระพี้ดีกว่า ระบบการบริหารจัดการแบบนี้ผิดพลาด และไปช้า

โลกเขาพูดว่า Economy of scale Economy of speed ของเรา scale จะใหญ่ ประเทศก็ไม่ถึงกับใหญ่ มี 63 ล้านคน เศรษฐกิจอยู่ระดับ 170 กว่าล้าน แต่ความเร็วไม่มี อืด แล้วจะแข่งขันไหวหรือไม่ เพราะฉะนั้นต้องปรับระบบการบริหารจัดการ การเมืองน้อย ๆ หน่อย วันนี้การเมืองเยอะ เล่นกันจนไม่มีเวทีให้เล่นแล้ว ฟัดกันเอง ไทยรักไทย กับประชาธิปัตย์ ฟัดกันอยู่นี้ จนเขาจะยุบทั้งสองพรรคแล้ว ที่ผมไม่อนาทรร้อนใจเพราะผมเคารพการทำหน้าที่ของทุกฝ่าย ผมถือว่าทุกคนมีหน้าที่เคารพการทำงาน แต่ทุกคนก็ต้องคิดถึงชาติในภาพรวมด้วย ผมจึงอยากบอกว่าประเทศไทยต้องการเมืองน้อย ๆ ผมพยายามพูดกับสื่อมวลชนว่า ต้องการเมืองน้อย ๆ คนไทยคนกินพริก ไม่มีใครยอมใครดุจะตาย เอ็งซัดมาก่อน
ข้าซัดกลับบ้าง อยู่อย่างนี้ไม่จบ ไม่มีประโยชน์ เพราะในที่สุดถามว่าเป็นใคร ก็คนไทยเหมือนกัน เป็นนักการเมืองที่อาสาประชาชนมาเหมือนกัน เขาอาสามาทำงาน ทำหน้าที่ของแต่ละคน ใครเป็นรัฐบาลก็ทำงานให้ประชาชน ใครเป็นฝ่ายค้านก็มีหน้าที่เสนอแนะ ตำหนิในสิ่งที่ทำไม่ถูกต้อง ทั้งสองฝ่ายไม่ได้อาสามาทะเลาะกันให้ประชาชนดู แต่ผลกลับเป็นการมาทะเลาะกันให้ประชาชนดู ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดี และคนกินพริกไม่มีใครหยุดก่อนใคร วันนี้ถึงเวลาที่ทุกคนต้องเลิกได้แล้ว ปีนี้ปากก็พูดกันว่าเป็นปีมหามงคล ทุกคนจะช่วยกัน แต่ว่ามันยังไม่หยุดกัน เลยอยากขอร้องว่าวันนี้หยุดเถอะ ผมประชุมพรรคพวก ก็บอกว่า ไม่เอาแล้วนะ สร้างสรรค์เถอะ อย่าไปพูดทะเลาะกัน ไม่เอาพอแล้ว ใครอยากจะทะเลาะปล่อยให้เขาทะเลาะ เราอยู่กันอย่างสร้างสรรค์ดีกว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งหยุด ต่อไปก็หยุด เพราะปรบมือข้างเดียวไม่ดัง ผมอยากบอกข้าราชการว่า ฝ่ายการเมืองที่ผมดูแลอยู่ ผมจะพยายามทำให้นิ่งเร็วที่สุด ซึ่งวันนี้ในฝ่ายการเมือง ในส่วนรัฐบาล ผมเชื่อว่านิ่งไปมากแล้ว จึงอยากขอให้ฝ่ายรัฐ ทำหน้าที่ตามกติกา และกฎหมายทุกอย่าง ส่วนฝ่ายที่วิ่งเต้นฟุตเวิร์คทั้งหลาย ก็จะหยุดเอง เพราะเหนื่อยไม่ได้อะไร พวกที่นั่งรอไปแอบตั้งรัฐบาล ไปขอชวนคนเป็นรัฐมนตรีลอย ๆ ก็ให้พักผ่อนไปก่อน ทุกอย่างต้องเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ไม่เป็นประชาธิปไตยไม่ได้

เศรษฐกิจในช่วง 4 เดือนแรกบางอย่างดูดี บางอย่างเริ่มมีสัญญาณของความน่าเป็นห่วง ต้องร้องเพลงอาการน่าเป็นห่วง ตนเริ่มไม่สบายใจ เพราะเศรษฐกิจถ้าไหลลงไปแล้ว จะดึงกลับต้องใช้แรงมากกว่าเดิม 2 เท่า เหมือนก้อนหินที่ถูกแรงโน้มถ่วงของโลกดึงลง ช่วง 4 เดือนแรกขาดดุลการค้าไปแล้ว 520 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ยังโชคดีที่มีการท่องเที่ยวมาช่วย จนทำให้เกินดุล 1,373 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศยังสูงอยู่ จะถือว่าสูงไปก็ได้ แต่สัญญาณความอ่อนแอเริ่มเกิดขึ้น จากการที่อัตราการใช้เครื่องจักรในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมลดลง ภาคการก่อสร้างถดถอย การบริโภคภาคประชาชนลดลง โดยดูจากการเก็บภาษีที่ต่ำกว่าเป้า การใช้จ่ายภาครัฐอืด จึงต้องให้ภาครัฐต้องเร่งรัดเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณ ส่วนราคาน้ำมันยังแพงอยู่ และคงไม่ลดง่าย ๆ ที่สำคัญคือดอกเบี้ยเพิ่ม


ในส่วนของดอกเบี้ยภายในประเทศถ้าปรับขึ้นมาก จะน่าเป็นห่วงเหมือนสมัยก่อน เพราะภาคเอกชน ต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในไทยมีปัญหา เนื่องจากขาดความเชื่อมั่นประเทศไทย เงินต่างประเทศจะไหลออก โดยเฉพาะเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และสิ่งที่เกิดขึ้นในไทยขณะนี้อธิบายเป็นภาษาประชาธิปไตยไม่ได้ เป็นแห่งเดียวในโลกที่ยุบสภาแล้ว กว่าจะมีสภาใหม่ใช้เวลาเกือบปี ไม่แน่ใจว่าจะเกินปีหรือไม่ ไม่ใช่ไม่แน่ใจว่าจะไม่มีการเลือกตั้ง


เรื่องการยุบพรรคที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ไม่รู้ผลจะออกอย่างไร แน่นอนว่ามีผลทั้งสองทาง แต่ขอไม่พูดอะไร เพราะเป็นการไม่เคารพการทำหน้าที่ของคนอื่น ขณะนี้เราต้องเร่งสร้างความเชื่อใจให้เกิดขึ้น เพราะประเทศพัฒนาแล้วจะเชื่อใจในคำว่าประชาธิปไตย แต่เมื่อวันนี้ประชาธิปไตยของไทยมีปัญหา ข่าวออกไปทุกวันทั่วโลก ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ตนไปประชุมที่คาซัคสถาน ผู้นำหลายคนสอบถามผม เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่ทุกคนต้องมุ่งมั่นประชาธิปไตย ไม่มีกติกาอื่น ทางมุ่งมั่นทางเดียวคือหาข้อยุติให้จบ เลือกตั้งให้เสร็จ ความอึมครึมจะหมดไป ไม่เช่นนั้นจะเสียโอกาสมาก จะนำประเทศถอยหลัง เพราะฉะนั้นระบอบประชาธิปไตยต้องอยู่ ต้องเข็มแข็ง

ผมเชื่อว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งปี น่าจะอยู่ที่ร้อยละ 4 บางคนบอกว่าจีดีพีไม่สำคัญ คนที่บอกเช่นนั้นพูดความจริงครึ่งเดียว จีดีพีต้องสร้างความสมดุลในประเทศ โตแบบสมดุลในประเทศ การกระจายตัวของรายได้ต้องดีขึ้น อุ้มชูคนที่อ่อนแอที่ต้องถูกบังคับให้แข่งขันในระบบทุนนิยม เราชอบหรือไม่ชอบ เป็นกติกาที่โลกให้เราแข่งขัน เราเป็นสมาชิกดับบลิวทีโอ จึงต้องมีกติกาการแข่งขัน และยอมรับกติกาสากล

ขอย้ำนโยบายที่ต้องช่วยทำในช่วงนี้จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ คือ หลักประกันสุขภาพทั่วหน้าโครงการ 30 บาท โครงการบ้านเอื้ออาทร บ้านมั่นคงและบ้านสำเร็จรูป การแจกเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกิน การช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ภัยแล้ง การปราบปรามยาเสพติด ปัญหาเด็กและเยาวชน การทวงหนี้พนันบอล และการบังคับเด็กขายตัวจากหนี้พนันบอล การปราบปรามผู้มีอิทธิพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้บังคับการตำรวจจังหวัดจะต้องกวดขันเป็นพิเศษ

เรื่องระบบขนส่งมวลชนก็ขอให้เร่งรัดต่อไป ปัญหาจราจรช่วงนี้ต้องเดินหน้าต่อ ส่วนสนามบินสุวรรณภูมิเปิดแน่นอนในวันที่ 28 ก.ย. ซึ่งเรามั่นใจในความพร้อมและความสมบูรณ์ในการเปิดใช้บริการ ซึ่งถ้าตนไม่ไปนั่งเป็นประธานเองก็เหนื่อย เพราะเรื่องการเกี่ยงกันไป-มา การไม่รู้หน้าที่ยังมีอยู่แบบไทยๆ โดยในวันที่ 29 ก.ค. จะมีการทดลองเครื่องภายในประเทศที่จะไปลงที่สนามบินสุวรรณภูมิเต็มรูปแบบ

สำหรับเรื่องการบริหารราชการ ช่วงนี้ยังไม่มี ป.ป.ช.ปัญหาคอรัปชั่นยังปรากฎออกมาเรื่อยๆ ขอให้ใช้อำนาจมาตรการทางบริหารจัดการไปพรางๆ ก่อน โดยใช้อำนาจของตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และเมื่อมี ป.ป.ช.แล้วก็ส่งเรื่องให้ดำเนินการ ส่วนการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปีให้ถือเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำตามปกติ ซึ่งคนที่ต้องเข้าสู่ความเห็นชอบของ ครม.หรือต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง จะทำให้เสร็จสิ้นส่งขึ้นนำกราบบังคมทูลฯภายในไม่เกินสัปดาห์แรกของเดือน ส.ค.นี้ เพราะฉะนั้นต้องส่งชื่อมายังครม.ภายในสิ้นเดือน ก.ค.เพื่อที่อังคารแรกของเดือน ส.ค.จะได้เข้า ครม. จากนั้นในระดับล่างก็จะมีการแต่งตั้งต่อไปให้ทัน 1 ต.ค.และรับงานใหม่ได้ ก็ขอให้เตรียมการ

ในส่วนงบประมาณของปี 2549 จะหมดในวันที่ 30 ก.ย. งบประมาณปี 2550 จะเริ่มในวันที่ 1 ต.ค.แต่ขณะนี้ยังไม่มีสภาก็เป็นครั้งแรกตั้งแต่เป็นประเทศไทยว่าจะเสนองบประมาณปี 2550 และปี 2551 พร้อมกัน ซึ่งเรื่องนี้ยืนยันว่าไม่กระทบต่อการจ่ายเงินเดือนข้าราชการ ส่วนค่าใช้จ่ายในงบปกติไม่มีปัญหา เช่นเดียวกับงบลงทุนผูกพันก็ไม่มีปัญหา มีเพียงงบลงทุนใหม่เท่านั้นที่ต้องเสนอให้สภาพิจารณา ซึ่งมีจำนวนกว่า 2 แสนล้านบาท นอกจากนั้น เงินจำนวน 1.1 ล้านล้านบาท สามารถใช้จ่ายได้เลย เรื่องงบประมาณจึงไม่มีอะไรน่าวิตก ตัวเลขไม่น่าผิดไปจากเป้าที่ตั้งไว้ แต่ที่เป็นห่วงคือถ้าเหตุการณ์การเมืองยังไม่หยุด ยังวุ่นวาย มีความไม่น่าเชื่อถืออยู่ก็เป็นห่วงเรื่องการจัดเก็บรายได้ เพราะจะเกี่ยวพันกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของปี 2550

เรื่องของการทำงานตนขอให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทุกคน และเพื่อนข้าราชการได้ยึดกระแสพระราชดำรัสในวันที่ 9 มิ.ย.ใส่เกล้าใส่กระหม่อม กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ตระหนักถึงอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 70 ของรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องฟังใครเพราะกฎหมาย ระเบียบ กติกา ระเบียบราชการได้สั่งการไปแล้วทั้งหมด 90 % ของการทำหน้าที่ อีก 10 % ที่เหลือเป็นนโยบายของผู้บังคับบัญชาที่จะเพิ่มเติม และไม่ต้องเล่นการเมืองในระบบราชการ ไม่ต้องเอาใจแบบการเมือง ไม่ต้องกลัวการเมือง ใครไม่ให้ความเป็นธรรม หรือใครแอบสั่งราชการแล้วทำให้กลัวขอให้มาบอก ผมรับผิดชอบ แล้วจะมาบอกว่าผมยังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ ขอยืนยันว่าผมรับผิดชอบตัวเองได้แน่นอน ถึงแม้จะยุบสภาไปแล้ว แต่ถือว่ายังต้องทำหน้าที่นายกฯ จนกว่าจะมีนายกฯ คนใหม่ โดยการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านระบบประชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญเท่านั้น และขอให้ยึดประโยชน์ของชาติอย่าได้มีการแตกแยก และไม่ต้องคิดว่ารัฐบาลจะอยู่หรือไป

ขอให้คิดเพียงว่าประเทศไทยต้องอยู่ รัฐบาลจะอยู่หรือไปเรื่องเล็กขอให้ทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ โดยไม่สนใจว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่รอรัฐบาลใหม่ อย่าลืมว่าทั่วโลกกำลังมองเราอยู่โดยเฉพาะประเทศที่เราต้องการลงทุน เราทำอะไรทั่วโลกรู้หมด จึงขอให้ทำทุกอย่างอย่างถูกต้อง

วันนี้อย่าเปลี่ยนคำว่า Democracy เป็น Democrazy ถ้าทุกคนยึดการทำหน้าที่ของตัวเองจะยุติปัญหาที่เกิดขึ้นได้เร็วมาก ไม่ต้องธงใคร ใครโบกธงข้ามฟากมาก็ตีธงให้หักเลย ไม่มีความหมาย ธงข้ามฟากไม่มีความหมาย ขอให้ยึดหลักประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ จะมาใช้วิธีโบกธงข้ามฟากไม่ได้ ทุกอย่างมีกติกา วันนี้พอแล้ว วุ่นวายกันมากแล้ว หยุดได้แล้ว นายกรัฐมนตรี กล่าว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้เวลาในการมอบนโยบาย 1 ชั่วโมงเต็ม จากนั้นได้เปิดโอกาสให้มีการซักถาม โดยกล่าวว่ามีใครต้องการสอบถามหรือให้คำแนะนำ หรือมีความกังวลใจ เมื่อไม่มีใครซักถาม นายกรัฐมนตรีจึงได้หันไปถาม นายพชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุดว่า ท่านอัยการสูงสุดมีอะไรจะถามมั๊ยครับ? ทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมต่างพากันหัวเราะและส่งเสียงฮือฮา พร้อมที่นายกฯ กล่าวต่อว่า วันก่อนที่เรียกท่านอัยการสูงสุดมาพบ พร้อมกับ ผบ.ตร. อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ เพราะเป็นห่วงเรื่องความมั่นคงของชาติ

ผมไม่ได้ห่วงเรื่องพรรคจะยุบหรือไม่ยุบ คนก็บอกว่าผมให้ธงท่านอัยการสูงสุด ธงอีท่าไหนไม่รู้ยุบคู่เลย ถ้าระบบมีการตรวจสอบถ่วงดุลก็จะลงตัวของมันเอง แต่ถ้าระบบไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลก็มีปัญหาเพราะทุกอย่างจะไปตามธง บางทีผมไม่ได้ให้ธง แต่คนอื่นให้แทน จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เชิญให้นายพชร ได้ลุกขึ้นพูดโดยบอกว่า เชิญครับ ไม่ต้องวิตกผมถือว่าท่านทำหน้าที่ ไม่ต้องห่วง

นายพชร ได้กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า ผมไม่ได้วิตก เพราะได้ทำตามหน้าที่ การพิจารณาส่งเรื่องการยุบพรรคให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาก็เป้นการดำเนินการเพื่อพยายามรักษาชาติบ้านเมืองให้สงบสุข ซึ่งคิดว่าประชาชนจะเข้าใจว่าเหตุผลคืออะไร

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้ทุกคนทำหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเต็มที่ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร แล้วอยากถามคนที่จะเกษียณฯ ว่ามีอะไรจะฝากหรือไม่ เพราะคงจะเกษียณใกล้ๆ กับผม ท่านเกษียณในวันที่ 30 ก.ย. สำหรับ ผมจะเกษียณประมาณ เดือน พ.ย.ถ้าสมมติว่ามีการเลือกตั้งในวันที่ 15 ต.ค. ก็จะมีการเรียกประชุมสภาในวันที่ 15 พ.ย.วันนี้ตนห่วงบ้านเมือง ไม่ได้ห่วงตัวเอง อยากบอกว่าหากเรากลับไปยึดกติกาอย่างเต็มที่ก็คงเอาอยู่

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์