อ้างดูงาน สส.-สว. เที่ยวฟรี!
วิจารณ์แซดกมธ.สภาสูง-สภาล่าง ถลุงงบฯดูงาน แห่บินนอกช่วงปิดสมัยประชุมปลายเดือน จีน ออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส ประเทศยอดฮิต เผยทัวร์ฟรีแล้วยังเบิกเบี้ยเลี้ยงค่าเดินทางได้อีกหัวละ 3,100-4,500 บาท/วัน ฮือฮาตารางบินจีนของกมธ.ตำรวจ ที่มี เฉลิมชัย ศรีอ่อน ส.ส. ปชป.นั่งหัวโต๊ะ พบแต่โปรแกรมเที่ยวตลอด 7 วัน 6 คืน นายกฯยืดเวลาปรับครม. บอกไม่เคยพูดจะปรับทันทีหลัง 16 พ.ย. ยอมรับระบุเป็นหลังงานพระราชพิธี ซึ่งจะมีจนถึง 19 พ.ย. แต่ 20-26 พ.ย. ก็ติดประชุมเอเปกที่เปรู เลี่ยงระบุวันปรับที่แน่นอน แต่ปรับแบบไม่ใหญ่ไม่เล็ก "พัลลภ"คุยโอกาสกลับกอ.รมน. มีเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ดูงานความมั่นคง รับย้ายข้างหนุน "แม้ว" อดีตคตส.ยัน"แม้ว"หย่า"อ้อ" ไม่มีผลต่อการอายัดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน
"สมชาย"ยืดเวลาปรับครม.
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 16 พ.ย. ที่บ้านพักภายในหมู่บ้านเบเวอร์ลี่ฮิลล์ ถนนแจ้งวัฒนะ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการปรับครม.ว่า ตนไม่เคยพูดว่าจะปรับหลังวันที่ 16 พ.ย.นี้ทันที เพียงแต่บอกว่ารอหลังเสร็จงานพระราชพิธีให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งงานพระราชพิธี จะมีถึงวันที่ 19 พ.ย. จากนั้นวันที่ 20-26 พ.ย. ตนมีกำหนดการเดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ที่ประเทศเปรู วันนั้นถ้าหากพูดผิดก็ต้องขอโทษแต่เท่าที่จำได้พูดประมาณว่า ขณะนี้ยังมีงานสำคัญที่ทุกคนจะต้องร่วมมือร่วมใจกัน ก็ต้องรอให้เสร็จงานทุกอย่างก่อน บังเอิญว่าช่วงไว้ทุกข์อยู่ระหว่างวันที่ 14-16 พ.ย. อาจมีคนเข้าใจผิดว่าหลังวันที่ 16 พ.ย. จะมีการปรับครม. ซึ่งไม่ใช่
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าการเสนอรายชื่อจะเป็นหลังจากการประชุมเอเปก นายสมชายกล่าวว่า อย่าไปลงวันที่เลยดีกว่าเดี๋ยวจะเกิดความผิดพลาดขึ้นมาอีก ส่วนตัวคิดว่าเมื่องานการทุกอย่างเสร็จสิ้น แล้วมีเวลาว่างก็จะมีเวลาคิดสักนิด เมื่อถามว่าขณะนี้ได้ตัวบุคคลแล้วหรือยัง นายสมชายกล่าวว่า ตอนนี้มันก็คิดๆ อยู่ แต่ยังไม่ได้เจาะจงเป๊ะ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าต้องเป็นอย่างนี้ เรื่องนี้พูดมากไม่ได้ อย่างวันนั้นพอพูดไปก็มีข่าวเสนอทำนองว่าเริ่มหลุด
เมื่อถามว่าเป็นการปรับเล็กหรือปรับใหญ่ นายสมชายหัวเราะ พร้อมกล่าวว่า ไม่เล็กไม่ใหญ่ เมื่อถามอีกว่าปรับมากกว่า 1 ตำแหน่งใช่หรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า เอาแค่นี้ก่อน ทีละช็อตดีกว่า เมื่อถามว่าจำเป็นต้องหารือกับใครอีกหรือไม่ในการปรับ ครม.ครั้งนี้ นายสมชายกล่าวว่า ตนเป็นคนตัดสินใจ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าจะหารือก็คงหารือกับเจ้าตัวที่จะไปจะมามากกว่า ต่อข้อถามว่าการปรับครั้งนี้จะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งภายในรัฐบาลได้ด้วยหรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า ความขัดแย้งภายในมันไม่มีอะไร ทุกอย่างก็เรียบร้อย
เลี่ยงตอบข่าวดึง"พัลลภ"นั่งรองผอ.รมน.
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะปรับตำแหน่งที่มีปัญหาขัดแย้งกันอยู่ขณะนี้ด้วยหรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า อย่าไปถามเช่นนั้น ส่วนจะมีคนนอกเข้ามาหรือไม่ วันนี้ขอเอาแค่นี้ก่อน ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลอื่นถ้าจะปรับก็ถือเป็นเรื่องของแต่ละพรรคแต่ถึงวันนี้ยังไม่มีใครแจ้งความจำนงว่าจะปรับ
เมื่อถามถึงกระแสข่าวการดึง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผอ.รมน. มาดำรงตำแหน่งรองผอ. รมน.อีกครั้ง นายสมชายกล่าวว่า วันนี้ขอพูดแค่นี้ก่อนแล้วกัน เมื่อถามว่าขณะนี้ด้านการข่าวมีการรายงานความเคลื่อน ไหวของการก่อความไม่สงบหลังเสร็จสิ้นงานพระราชพิธีมาบ้างหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ไม่มีอะไรเลย ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดี ตนติดตามข่าวทุกวันก็มีรายงานเข้ามาทุกวันเช่นกันทั้งฝ่ายตำรวจและทหารติดตามดูแลร่วมกับการข่าว ยืนยันว่าถึงวันนี้ยังไม่ได้ข่าวอะไร
นายกฯกล่าวว่า วันก่อนมีข่าวว่าตนเป็นคนพูดว่าจะมีเหตุร้ายในวันนั้นวันนี้ ยืนยันว่าไม่ได้พูด เพียงแต่พูดขอร้องว่าในช่วงงานพระราชพิธีน่าจะเป็นช่วงที่พวกเราทุกคนควรไว้ทุกข์ร่วมกันเพื่อถวายความจงรักภักดี วันนี้ก็ต้องขอขอบคุณประชาชน
หันหลังหนีเรื่องป.ป.ช.แจ้งข้อหา
นายสมชายกล่าวถึงท่าทีของฝ่ายไทยหลังจากที่ยังหาข้อตกลงไม่ได้เรื่องการถอนทหารออกจากพื้นที่ทับซ้อนปราสาทพระวิหาร ว่า ไม่ใช่เรื่องการตกลงว่าได้หรือไม่ได้ กรอบการเจรจาเราเองก็มีข้อจำกัดตามกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าการจะเจรจาหรือตกลงอะไรต้องผ่านสภาก่อน ดังนั้น เมื่อทุกอย่างเข้าอยู่ภายในกรอบแล้ว การเจรจาไม่ว่าจะมีข้อตกลงใหม่หรือไม่ถ้าเป็นเรื่องนอกกรอบที่วางไว้ก็ทำอะไรไม่ได้ ถือเป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่ง และที่พูดก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐธรรมนูญดีหรือไม่ดี แต่อยากบอกว่ามันเป็นข้อจำกัดที่ลำบากนิดหนึ่ง อย่าง ไรก็ตามถ้ามีความจำเป็นก็ต้องนำเรื่องเข้าหารือสภา เพื่อให้เป็นเรื่องของสภาที่จะพิจารณา
เมื่อถามว่าได้รับหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) กรณีออกมติครม.สนับสนุนแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร แล้วหรือไม่ นายสมชายกล่าวตัดบทว่า วันนี้วันอาทิตย์ ไปพักผ่อนก่อน จากนั้นรีบหันหลังเดินเข้าบ้านพักทันที
"เจ๊แดง"เลี่ยงตอบข่าวพี่ชายหย่า"อ้อ"
เมื่อถามถึงข่าวการหย่าร้างระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร นายสมชายกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ส่วนจะมีผลอะไรต่อคดีความหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ แต่วันนี้ขอร้องว่าอย่าไปถามเรื่องคนอื่นเขาเลย ยืน ยันว่าไม่ได้มีการพูดคุยในเรื่องเหล่านี้กับพ.ต.ท.ทัก ษิณ ไม่เคยคุยกันเลย
ด้านนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวพ.ต.ท.ทัก ษิณ ภริยานายกฯ เลี่ยงการสัมภาษณ์ถึงข่าวการหย่าร้างแบบกะทันหันของพี่ชาย โดยเมื่อเห็นกลุ่มผู้สื่อข่าวดักรออยู่ที่หน้าบ้านพักก็ไม่ยอมออกมาพูดคุยเหมือนเคย และเดินทางออกจากบ้านพักไปในเวลา 11.00 น.
"แก้วสรร"ชี้ไม่มีผลต่อทรัพย์ที่อายัด
นายอุดม เฟื่องฟุ้ง อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวว่า การหย่าของพ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิง พจมานถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่คดีต่างๆ ที่ศาลกำลังพิจารณา คงไม่กระทบต่อทุกคดีที่ขึ้นสู่ศาล มีกรณีเดียวที่ทำให้ต้องระงับคดีไปคือ จำเลยต้องตายเท่านั้น
นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตเลขานุการคตส. กล่าวว่า คดีเกี่ยวกับการอายัดเงินของพ.ต.ท.ทักษิณ 7.6 หมื่นล้าน จะเกี่ยวกับการหย่าของพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่นั้น ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกัน การอายัดเงินนั้นแม้จะเรียกเป็นคดีแพ่งแต่เป็นแค่ศัพท์ทางกฎหมายเฉยๆ กรณีนี้เป็นการลงโทษคดีคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะการซุกหุ้น ไม่ใช่คดีหนี้สินที่จะมีผลต่อการหย่าร้าง
นายสัก กอแสงเรือง อดีตคตส. กล่าวว่า การหย่าร้างของพ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ไม่มี ผลกับคดีความที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เนื่องจากมีคดีที่เกี่ยวข้องกับการสมรสเพียง 2 คดี คือ คดีที่ดินรัชดาฯ และการอายัดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท อย่าง ไรก็ตาม คดีที่ดินรัชดาฯ องค์ประกอบความผิดของคดี คือการทำสัญญาโดยคู่สมรส แต่ศาลก็มีคำตัดสินแล้ว ส่วนการอายัดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท การร้องขอถอนอายัดหากพิสูจน์ไม่ได้ทรัพย์จะตกเป็นของแผ่นดิน มองว่าอดีตนายกฯ หย่าครั้งนี้เพื่อหวังผลเรื่องการจัดการทรัพย์สิน เพราะการหย่าส่งผลให้คู่สมรสไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมการจัดการทรัพย์สินอีก และอาจเป็นการนำไปอ้างกรณีทางการอังกฤษถอนวีซ่า เพื่อเดินทางกลับเข้าอังกฤษได้อีก
ความสุขคนไทยลดต่ำสุดรอบ 3 ปี
ศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน (ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เผยผลสำรวจความสุขมวลรวมของคนไทยประจำเดือนต.ค-ต้นเดือนพ.ย.51 จากการสำรวจความเห็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 18 จังหวัดคือ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธา นี เชียงใหม่ ลำพูน นครสวรรค์ ปราจีนบุรี ระยอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครพนม สกลนคร ศรีสะเกษ นครราชสีมา อุบลราชธานี กระบี่ และสุราษฎร์ธานี รวม 5,267 ตัวอย่าง พบว่า ความสุขมวลรวมของคนไทยลดลงต่ำสุดตั้งแต่เคยทำวิจัยความสุขมาในรอบ 34 เดือน ดัชนีความสุขมวลรวมในผลวิจัยครั้งนี้อยู่ที่ 4.84 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ลดลงจาก 5.64 ในการสำรวจช่วงเดือนก.ย. ที่ผ่านมา
นายนพดล กรรณิกา ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ความสุขของประชาชนลดต่ำลงในทุกภูมิภาคและต่ำสุดในรอบ 34 เดือน คือ ความขัดแย้งรุนแรงบานปลายทาง การเมืองจนมีเหตุทำให้ประชาชนคนไทยด้วยกันบาดเจ็บล้มตาย ปัญหาหลักธรรมาภิบาลของรัฐบาล ปัญหาจริยธรรมทางการเมืองของนักการเมือง และปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องของประชาชน ส่งผลทำให้เกิดความเครียดสะสมในกลุ่มประชาชนทุกเพศทุกวัย ทุกระดับชั้นของสังคม
เหตุมาจากความขัดแย้งทางการเมือง
ประชาชนเกินกว่าครึ่งหรือร้อยละ 56.9 เห็นว่ารัฐบาลมีปัญหาด้านหลักธรรมาภิบาล เช่น ไม่มีความสง่างาม ไม่ชอบธรรม มีปัญหาด้านจริยธรรมทางการเมือง มีความเคลือบแคลงสงสัยในหมู่ประชาชนต่อรัฐบาล ผลประเมินความสุขมวลรวมในคนกลุ่มนี้พบว่ามีความสุขมวลรวมเพียง 4.6 เท่านั้น ขณะที่ประชาชนร้อยละ 43.1 เห็นว่ารัฐบาลไม่มีปัญหาด้านหลักธรรมาภิบาล เพราะยังคงมีความสง่างาม มีความชอบธรรมอยู่ ผลวิจัยพบว่าประชาชนกลุ่มนี้มีความสุขสูงกว่าคือมีความสุขอยู่ที่ 5.14
ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 81.9 ระบุว่าเมื่อมองสถานการณ์การเมืองปัจจุบันแล้วทำให้มีความเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษเพิ่มมากขึ้น และความสุขมวลรวมของคนกลุ่มนี้อยู่ที่ 4.85 ในขณะที่ประชาชนร้อยละ 18.1 กลับมีความเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษลดน้อยลง แต่ความสุขมวลรวมของคนกลุ่มนี้มีค่าเฉลี่ยน้อยกว่าคนกลุ่มแรกคืออยู่ที่ 4.67 แต่เมื่อถามถึงความหวังต่อความปรองดองของคนในชาติหลังจากติดตามข่าวการเตรียมงานการซ้อมและงานพระราชพิธีต่างๆ แล้ว พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 71.2 มีความหวังต่อความปรองดองของคนในชาติ ขณะที่ร้อยละ 28.8 ไม่มีความหวัง
ผลการจัด 3 อันดับสิ่งที่จะช่วยทำให้ความสุขมวลรวมของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น อันดับแรก คือ ประชาชนคนไทยทุกคนปฏิบัติตนด้วยความรักความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รองลงมา คือ ทุกกลุ่มทุกฝ่ายหันหน้าจับมือกันต่อหน้าสาธารณชน ช่วยแก้ปัญหาบ้านเมือง และอันดับที่สาม ทุกฝ่ายทุกคนเคารพและยอมรับกระบวนการยุติธรรมตามตัวบทกฎหมาย
วิจารณ์แซดกมธ.ผลาญงบดูงาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ ปรากฏว่าสมาชิกรัฐสภายังวางโปร แกรม เดินทางไปดูงานยังต่างประเทศกันอย่างคึกคักในช่วงปิดสมัยประชุมรัฐสภาปลายเดือนพ.ย. ประ เทศยอดฮิตของกรรมาธิการสามัญของสภาผู้แทนราษฎร 35 คณะและกรรมาธิการสามัญของวุฒิสภา 22 คณะยังคงเป็นจีน ออสเตรเลียและประเทศแถบทวีปยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และกลุ่มประเทศแถบสแกนดิเนเวีย เช่นเคย
โปรแกรมศึกษาดูงานที่ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากข้าราชการสภาจนต้องนำกำหนดการมาเปิดเผยให้สื่อมวลชนรับทราบนั้น เป็นโปรแกรมของคณะกรรมาธิการการตำรวจ ที่มีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประ ธาน มีแผนไปดูงานที่สาธารณรัฐประชาชนจีน กลางเดือน ธ.ค. ที่ปักกิ่ง-กำแพงเมืองจีน-หังโจว-เซี่ยงไฮ้ รวม 7 วัน 6 คืน โดยสายการบินไทย ที่นั่งชั้นหนึ่ง พักโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว แต่กลับไม่ได้บรรจุโปรแกรมการดูงานแม้แต่วันเดียว
สำหรับโปรแกรมการเดินทางของกรรมาธิการชุดดังกล่าว ออกจากกรุงเทพถึงปักกิ่งเวลา 10.40 น. ชมอาคารบ้านเรือนที่ได้รับการตกแต่งสวยงานก่อนเดินทางสู่ภัตตาคาร วันที่สอง เวลา 08.00 น. ไปชมด่านปาตาหลิ่ง กำแพงเมืองจีน พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง วันที่สาม ชมสู่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พระบรมมหา ราชวังโบราณ หอเทียนถาน วันที่สี่ ไปเมืองหังโจว ล่องเรือชมทัศนียภาพของทะเล สาบซีหู วันที่ห้า ชมความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่นครเซี่ยงไฮ้ และหาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ วันที่หก เดินทางสู่หมู่บ้านน้ำโบราณ ล่องเรือตามลำน้ำ เลือกซื้อของที่ระลึก วันที่เจ็ด ชมความงามของสวนยี่หยวน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากคณะกรรมาธิการแต่ละคณะจะเดินทางฟรีด้วยงบประมาณของกรรมาธิการแต่ละคณะแล้ว ส.ส.และส.ว.แต่ละคนยังสามารถเบิกเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ค่าพาหนะ รวมทั้งค่าเช่ายานพาหนะ ค่าเชื้อเพลิงหรือพลังงานสำหรับยานพาหนะ ค่าระวางบรรทุก ค่าจ้างคนหาบหาม ค่ารับรอง ค่าของขวัญ ค่าเครื่องแต่งตัวและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นเนื่องในการเดินทางอีกด้วย โดยจะได้รับเบี้ยเลี้ยงเดินทางเหมาจ่าย 3,100 บาทต่อวัน และกรณีมิได้เบิกเบี้ยเลี้ยงเดินทางเหมาจ่ายให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 4,500 บาทต่อวันอีกด้วย
ปชป.ชวนประชาชนเสนอคนชิงผู้ว่าฯ
น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการคัดเลือกตัวผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ว่า พรรคตระหนักถึงความคาดหวังของคนกรุงเทพในการคัดเลือกผู้สมัครของพรรค พรรคจะคัดเลือกโดยคำนึงถึงความรู้ ความสามารถ โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นบุคลากรภายในหรือภายนอก เพราะไม่ใช่การตัดสินใจของพรรคหรือภายในพรรค พรรคประชาธิปัตย์เปิดกว้างให้บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถได้รับโอกาสเข้ามาแก้ปัญหาของบ้านเมือง
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคให้ตัวแทนของพรรคที่ทำงานใกล้ชิดคนกรุงเทพ ไม่ว่าจะเป็นส.ส.กทม. ส.ก. ส.ข. สาขาพรรค ไปฟังความเห็นของประชาชนและเสนอชื่อบุคคล พรรคให้ความสำคัญต่อความรู้สึกและความคาดหวังของคนกรุงเทพ เพราะฉะนั้นบุคลากรของพรรคจะได้พูดคุยกับประชาชนหลากหลายสาขาอาชีพ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจพิจารณาส่งผู้สมัครที่มีความเหมาะสมที่สุด
"ชูวิทย์"เผย 20 พ.ย.รู้ลงแข่งหรือไม่
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า วันที่ 20 พ.ย. นี้ จะมีความชัดเจนว่าตนจะลงสมัครผู้ว่าฯกทม.หรือไม่ ขอเคลียร์ตัวเองก่อน เนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่งจ่ายค่าจัดทำโปสเตอร์หาเสียง ระยะเวลายังไม่ถึง 1 เดือน จะให้มาคำนวณค่าใช้จ่ายอีกคงต้องดูความพร้อมอีกครั้ง เพราะการลงสมัครรับเลือกตั้งทุกครั้งตนออกค่าใช้จ่ายด้วยตนเอง ไม่พึ่งใคร จะได้ไม่มีใครมาว่าหรือมากล่าวหาภายหลัง ส่วนกระแสข่าวว่าพรรคพลังประชาชนจะทาบทามตนลงสมัครผู้ว่าฯกทม. อยากถามกลับไปว่าพรรคพลังประชาชนกล้าทาบหรือไม่ เพราะตนมีนิสัยอย่างไรประชาชนทุกคนก็รู้ ตนจริงใจเปิดเผย แม้ช่วงที่เป็นรองหัวหน้าพรรคชาติไทยก็ไม่กลัวใคร แม้แต่นายบรรหาร ศิลปอาชา ที่เป็นถึงหลงจู๊ หากใครผิดใครไม่มีจรรยาบรรณ ใครไม่มีศีลธรรม ใครโกหก ตนพร้อมเปิดเผยให้สังคมรับทราบ
นายชูวิทย์กล่าวว่า กระแสข่าวที่พรรคพลังประชา ชนจะให้ตน นายประภัสร์ จงสงวน และนายเกรียง ศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ตั้งทีมลงแข่งผู้ว่าฯกทม. เรื่องนี้ต้องมาคุยกันในรายละเอียดตนพร้อมเปิดกว้าง แต่อยากถามว่าใครจะเป็นหัวและใครจะเป็นรอง เพราะหากลงสมัครจริงๆ เชื่อว่าจะชนะคู่แข่งทั้งหมดได้ เพราะทุกคนมีความสามารถทั้งนั้น แต่ขณะนี้ยังไม่มีใครประสานหรือหารือ ส่วนตนนั้นพร้อมอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้ ต้องสำรวจและตรวจสอบตนเองก่อนว่า มีความพร้อมแค่ไหน
จี้ปชป.รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเลือกตั้ง
นายชูวิทย์กล่าวว่า กรณีพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม. ระบุว่าการลาออกของนายอภิรักษ์ ถือเป็นการแสดงสปิริตทางการเมือง ถือเป็นการวางแนวการเมืองใหม่ คิดว่าไม่ถูกต้อง เพราะที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ทราบดีว่านายอภิรักษ์ ถูกป.ป.ช. ตรวจสอบเรื่องการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงอยู่ หากจะแสดงสปิริตจริงต้องไม่ส่งนายอภิรักษ์ ลงสมัครผู้ว่าฯกทม.ครั้งที่ผ่านมา เพราะลึกๆ พรรคประชาธิปัตย์รู้อยู่แล้วว่า นายอภิรักษ์ จะถูกตัดสินในคดีดังกล่าวอย่างไร ถือเป็นการหลอกลวงคนกทม.เกือบล้านคนให้มาลงคะแนนเสียงให้ ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งกว่า 154 ล้านบาท ถามว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบ หากพรรคประชาธิปัตย์แสดงสปิริตจริงก็ควรนำเงินจำนวนดังกล่าวมาชดใช้ให้กับกกต.
นายชูวิทย์กล่าวว่า หากพรรคประชาธิปัตย์จะให้ส.ส.ลาออกจากตำแหน่งมาลงสมัครผู้ว่าฯกทม. ก็ถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน เพราะกกต.ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งซ่อมในส่วนของส.ส.อีก อีกทั้งการจะส่งคนของตนเองมาลงสมัครผู้ว่าฯกทม.อีกถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะหากได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นผู้ว่าฯกทม.อีก ก็อาจเข้ามาทำลายหลักฐานและกลบเกลื่อน เหมือนเป็นการลบลายมือ หากแน่จริงต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามา ซึ่งตนพร้อมสาวข้อเท็จจริงทั้งหมดออกมาเปิดเผย
กกต.แก้ปัญหาบัตรเลือกตั้ง
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรม การการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า หลังจากที่กกต.มีมติตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อพัฒนารายละเอียดในการจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้ง คณะกรรมการชุดนี้จะมีคนนอกทั้งอาจารย์ระดับมหาวิทยาลัย ทั้งในส่วนสมาคมการพิมพ์แห่งประเทศไทย และตัวแทนจากโรงพิมพ์มหาวิทยาลัยของสุโขทัยธรรมาธิราช ที่มีความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับการพิมพ์ ก็ได้ระดมความคิดเห็นในส่วนของปัญหาการพิมพ์บัตรเลือกตั้งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ซึ่งเห็นตรงกันว่ามาตรฐานการกำหนดเรื่องของความปลอดภัยในเรื่องของการปลอมแปลงต้องคงไว้เหมือนเดิม และควรให้อยู่ในระดับกลางและหลายโรงพิมพ์ทำได้ เพื่อเปิดทางให้กับบริษัทที่พอมีศักยภาพได้เข้ามาร่วมประกวดราคาแข่งขันด้วยทั้งภาครัฐและเอกชน
เลขาฯกกต.กล่าวว่า เชื่อว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องของบัตรเลือกตั้งอีกแล้ว คณะทำงานชุดนี้ยังเหลือการประชุมอีก 1 ครั้งก่อนนำเสนอเข้าที่ประชุมกกต.เพื่อให้ความเห็นชอบ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ากกต.จะเห็นชอบกับแนวทางในการที่จะดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในเรื่องของการพิมพ์ วิธีการและรูปแบบ ตามคณะกรรมการชุดนี้จัดทำหรือไม่ มองระบบแบบจีทูจี หรือรัฐต่อรัฐ เป็นวิธีที่น่าจะดี เพราะจะไม่มีปัญหาเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างเหมือนที่ผ่านมา คิดว่ากกต.น่าจะเห็นด้วยกับวิธีนี้ แต่อาจมีคนมองว่าถ้าให้รัฐทำก็จะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายรัฐบาล ทำให้ถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งอีก ใจจริงตนอยากใช้เครื่องอิเล็ก ทรอนิกส์มาใช้กับการเลือกตั้ง จะได้ประหยัดทั้งงบประมาณ ไม่มีปัญหาเรื่องการขนหีบบัตรเลือกตั้ง ทราบผลคะแนนเร็ว ถ้าเสนอไปตอนนี้ รับรองกกต.ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างแน่นอน
"พัลลภ"คุยได้กลับกอ.รมน.
พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผอ.รมน. ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวเตรียมเข้ารับตำแหน่งรองผอ.รมน.อีกครั้ง ว่า ขณะนี้มีความชัดเจนเกือบ 100เปอร์เซ็นต์แล้วว่า ตนจะเข้ามามีตำแหน่งในกอ.รมน.อีกครั้ง เดิมได้ตกลงกันว่าจะให้มานั่งในตำแหน่งรองผอ.รมน. แต่เนื่องจากโครงสร้างกอ. รมน. ตามกฎหมายใหม่ ผอ.รมน. คือนายกรัฐมนตรี รองผอ.รมน. คือผบ.ทบ. ดังนั้น ขึ้นอยู่กับการพิจาร ณาของครม.ว่าตนจะเหมาะสมในตำแหน่งใด ผู้ช่วยผอ.รมน. ตนก็เป็นได้ จึงจะไปอยู่ในตำแหน่งดังกล่าว โดยจะนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมครม.ในวันที่ 18 พ.ย.นี้
พล.อ.พัลลภกล่าวว่า กรอบการทำงานตนจะเข้าไปช่วยดูงานด้านความมั่นคงเป็นหลัก เพราะเห็นว่าวันนี้ได้เกิดความแตกแยกรุนแรงขึ้นในบ้านเมือง ประชาชนแตกออกเป็น 2 ฝ่ายชัดเจน และมีแนวโน้มที่จะปะทะกัน เกิดเป็นสงครามกลางเมือง ซึ่งไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจึงอาสากลับมาทำงานที่กอ.รมน. อีกครั้ง โดยเฉพาะงานด้านมวล ชนกอ.รมน.เดิมที่เคยทำไว้มากมาย
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่อาจถูกโจมตีว่าตีจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปเข้าข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.พัลลภกล่าวว่า ไม่กังวลเพราะจะไปทำงานด้านความมั่นคง ทำเพื่อประเทศชาติ นำความสันติมาสู่ประชาชนเป็นหลัก ไม่กังวลเลย ตามที่ได้แถลงไปแล้วว่ากลุ่มพันธมิตรเดิมตนสนับสนุน แต่วันนี้พอมาดูแล้วมันจบกันไม่ลง พันธมิตรเองก็ไม่รู้จะไปอย่างไรต่อ แม้ตนจะเห็นด้วยกับแนวคิดการเมืองใหม่ของพันธมิตร แต่มันไม่มีทางที่จะไปได้ หากไม่เกิดการรัฐประหาร พันธมิตรไม่มีเส้นทางที่จะไปสู่การเมืองใหม่ได้เพราะไม่มีส.ส. ไม่มีรัฐสภา
รับย้ายข้างซบ"แม้ว"-ยึดสมานฉันท์
พล.อ.พัลลภกล่าวว่า ปัญหาในขณะนี้จึงตรงกับที่นายกฯทักษิณบอก คือ ถ้าพันธมิตรยุติทุกอย่างก็ยุติหมด ดังนั้นขึ้นกับว่าวันนี้พันธมิตรจะยุติหรือไม่ รัฐบาลชุดนี้จะมาอย่างไรตนไม่ทราบ แต่เขามาจากการเลือกตั้ง ได้รับการโปรดเกล้าฯ ก็ถือว่ามาถูกต้องตามกฎหมาย เรื่องการตรวจสอบยังสามารถทำได้ ตามกระบวนการยุติธรรม องค์กรในการตรวจสอบต่างๆ ก็มีแต่ไม่ใช่เป็นแบบวันนี้ มันจะฆ่ากันอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าที่มาอยู่อีกข้างเพราะผิดใจกับพล.ต. จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตร ซึ่งเป็นเพื่อนตาย พล.อ.พัลลภกล่าวว่า เพื่อนก็ส่วนเพื่อนแต่ประเทศชาติต้องมาก่อน เมื่อถามว่าหลายฝ่ายวิจารณ์ว่าเป็นเรื่องแปลกที่ตัวพล.อ.พัลลภ ที่ได้ชื่อว่าเป็นศัตรูตลอดกาลของพ.ต.ท.ทักษิณ จู่ๆ จะเปลี่ยนมาอยู่ข้างพ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.พัลลภกล่าวว่า พ.ต.ท.ทัก ษิณโกรธตน เพราะตอนพันธมิตร 1 เมื่อปี 2548-2549 ส่งคนไปช่วยคุ้มกันพล.ต. จำลอง พ.ต.ท.ทัก ษิณเลยคิดว่าตนร่วมจะล้มเขา เป็นความเข้าใจผิดกัน ตนไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ฮ่องกงเที่ยวนี้ก็ได้เคลียร์กันเรียบร้อย
ส่วนกรณีหลายฝ่ายกังวลสถานการณ์การเมืองจะรุนแรงขึ้นอีกครั้งหลังเสร็จสิ้นงานพระราชพิธี พล.อ. พัลลภกล่าวว่า ตนถึงได้อาสาเข้ามาทำงาน ในกอ. รมน. เพื่อสร้างความเข้าใจอีกครั้ง มั่นใจว่าจะทำได้สำเร็จ เพราะไม่ต้องการให้มีคนบาดเจ็บล้มตายกันอีก ไม่ใช่แนวทางของตน การใช้พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมาดำเนินการก็จะไม่ใช้มาตรการรุนแรง ผิดก็ว่าไปตามผิด ยึดกฎหมายเป็นหลัก แต่จะเน้นการเจรจาทำความเข้าใจ ด้วยคอนเน็กชั่นเพื่อนๆ ในพันธมิตรฯ
รับไม่ได้แนวคิดเสธ.แดง
ส่วนที่พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ประกาศเป็นคอหอยกับลูกกระเดือกคู่กัน พล.อ.พัลลภกล่าวว่า พล.ต.ขัตติยะไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนมานานแล้ว แต่พอรู้ว่าตนจะได้ไปอยู่ในกอ.รมน. ก็อยากมาทำงานด้วย เป็นอาการอยู่ไม่สุข เมื่อเช้าวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา โทร.ไปด่าเลยว่ามาทำงานกับตนไม่ได้หรอก ถ้ายังพูดว่าจะจับแกนนำพันธมิตรผูกเฮลิคอปเตอร์ไปสอบ สวนที่เกาะตะรุเตา ตนรับไม่ได้ ประชาชนก็รับไม่ได้ ที่จริงพล.ต.ขัตติยะเป็นคนมีความสามารถแต่ชอบเสนออะไรแปลกๆ ถ้าจะกลับมาทำงานด้วยกันต้องกลับไปเปลี่ยนทัศนคติและท่าทีให้หมด มาเสนอแนวคิดอย่างนี้ไม่ได้ เพราะตนไม่อยากให้คนไทยฆ่ากันเอง ไม่อยากเห็นใครฆ่าใคร
ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดเสวนาหัวข้อ เรื่อง "สมัชชาประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิ การและประชาธิปไตย" เพื่อแลกเปลี่ยนข้อเสนอเพื่อขยายพื้นที่ประชาธิปไตย คัดค้านระเบียบใหม่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และอำนาจทหารโดยมี นายประภาส ปิ่นตบแต่ง อ.ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ นายจารุวัฒน์ เกยูรวรรณ ตัวแทนกลุ่มเลี้ยวซ้าย น.ส.สมาภรณ์ แก้วเกลี้ยง นักศึกษาด้านสิทธิมนุษยชน ม.มหิดล เป็นวิทยากร โดยมีนายใจ อึ้งภากรณ์ อ.ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เป็นผู้ดำเนินรายการ
การเมืองใหม่พธม.ลิดรอนสิทธิ์
นายประภาสกล่าวว่า ปัญหาขณะนี้เกิดจากระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนมีปัญหา เพราะชนชั้นล่างยังขาดประสบการณ์ไม่ทันระบอบทักษิณ จึงทำให้เกิดกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิป ไตย สุดท้ายกลุ่มพันธมิตรก็ดูถูกคนชนบทว่าเป็นคนโง่งก ทำให้ต้องมาคิดกันว่าทำอย่างไรถึงจะแก้ปัญหาให้ประชาธิป ไตยทางตรงได้ขยายพื้นที่มากขึ้น การเมืองใหม่ของพันธมิตร เช่นระบบเลือกตั้งแบบ 70 ต่อ 30 ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เช่นกันเนื่องจากละเลยการมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับล่างและอาจทำให้องค์กรภาคประชาชนบางอาชีพหายไป วิธีแก้ปัญหาก็คือการทำให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมและขยายพื้นที่ประชาธิปไตย โดยให้ริเริ่มเสนอแก้กฎหมายต่างๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับการจัดการชีวิตของตนเอง เช่น ริเริ่มเสนอร่างพ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ
นายจารุวัฒน์กล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรเป็นอุป สรรคต่อระบอบประชาธิปไตยที่จำเป็นต้องกำจัดออกไป และขณะนี้ถึงเวลาที่เรามาตั้งคำถามว่าควรจัดการกับกลุ่มพันธมิตรอย่างไร เนื่องจากเป็นศัตรูของประเทศ จึงอยากเรียกร้องให้ประชาชนที่รักประชาธิปไตยออกมากดดันให้กลุ่มพันธมิตรพ่ายแพ้ หากยังมีกลุ่มพันธ มิตรอยู่ก็ไม่สามารถเพิ่มพื้นที่ประชาธิปไตยได้
น.ส.สมาภรณ์กล่าวว่า ในฐานะที่ตนศึกษาด้านสิทธิมนุษยชน เห็นว่าการกระทำของกลุ่มพันธมิตรเป็นการกระทำที่ลิดรอนสิทธิมนุษยชน การกระทำของพันธมิตรที่ผ่านมาดูถูกชาวไร่ชาวนา มองคนที่มีความเห็นต่างเป็นเพียงแค่สัตว์ สร้างบรรยากาศทำให้เกิดความเกลียดชัง อยากถามว่าจะเป็นประชาธิป ไตยได้อย่างไร อยากเรียกร้องให้พันธมิตรพูดให้ตรงกับใจ ปากบอกว่ารับฟังมวลชนแต่การกระทำกลับปฏิเสธมวลชน