ขณะนี้ ไม่มีใครอยากเห็น “สงครามประชาชน” ไทยทนเชื่อว่า จะเสื้อเหลือง หรือ เสื้อแดง ก็รักชาติทั้งสิ้น แต่ถ้าคนเสื้อแดงถูกหลอกให้ “ไม่มองความจริง” ว่าคนเสื้อเหลืองทำด้วยเจตนาดีโดยรักษาหลักการ “นิติรัฐ” เพื่อ “ต่อต้านการทุจริตโกงชาติ” เพื่อส่วนรวม ก็ทำให้คนไทย “แตกแยก” กันได้
ไทยทนจึงเชื่อว่า ให้เป็นศึกการเปิดโปงความจริง ดีกว่า เมื่อความจริงชนะ และปรากฏเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วกัน แม้ใครจะยังชอบหรือไม่ ก็ยังมีเสรีตามระบอบประชาธิปไตย แต่คนไทยก็ไม่ต้องทะเลาะเข้าใจผิดกัน เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา ทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้แถลงข่าวโดยนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กรณีอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SC) ซึ่งเป็นการปกปิดว่า พ.ต.ท. ทักษิณ (นช.) และคุณหญิงพจมาน ชินวัตรเป็นเจ้าของวินมาร์ค กองทุน แวลูอ์ แอสเสทส์ ฟันด์ (VAF หรือ VIF) โอเวอร์ซีส์ โกล์ฟ ฟันด์ อินซ์ (OGF) และ ออฟชอร์ว ไดนามิค ฟันด์ อินซ์ (ODF) โดยใช้เชิงเทคนิคที่ไม่เนียน ดังที่จะได้สรุปไว้ในช่วงหลังของบทความนี้
ข่าวดีคือ ท่านโฆษกสำนักงานอัยการฯ ได้ให้ความจริงที่เปิดโปง นช. และ ภรรยา ว่า "ส่วนการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมานนั้น อัยการเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ทั้งสองไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการซื้อ-ขายหุ้นด้วยตัวเอง แต่ซื้อขายหุ้นผ่านกองทุนแล้วดังนั้นหน้าที่การรายงานการซื้อขายหุ้นจึงเป็นของกองทุน ไม่ใช่หน้าที่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมานที่จะต้องรายงาน ตามที่ถูกกล่าวหา" เท่ากับยืนยันตรงกับ ดีเอสไอ (ยุคคุณ สุนัย มโนมัยอุดม) และ สำนักงาน กลต. ว่า ทั้งสองคือเจ้าของกองทุนลับที่แท้จริงนั่นเอง
จากข้อมูลข่าวสารที่รวบรวมได้ มีหลักฐานการ “ปกปิดความจริง” เรื่องนี้ มาเกือบ 10 ปี และมี “ความจริง” ที่น่าจะได้เห็นตรงกันหลายประเด็นดังนี้
1.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ ที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในวันที่ 12 กันยายน 2543 ว่า การขายหุ้นอสังหาริมทรัพย์ 5-6 บริษัทให้แก่กองทุนวินมาร์คนั้น “เป็นการขายหุ้นให้แก่นักลงทุนต่างประเทศธรรมดา ไม่มีอะไรที่พิสดาร”
2.“ขายไป 500-600 ล้านบาท หรือ 700-800 ล้านบาท จำนวนเท่าไหร่ จำตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้” แต่ความจริง (2) ปรากฏ 6 ปีต่อมา ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2549 มติชน นำโดยคุณ ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ จึงได้แสดงข้อมูลใหม่"ทักษิณ-พจมาน"โอนหุ้น 5 บริษัทในเครือ มูลค่าเกือบ 1,500 ล้านบาท และ ความจริง (1) โฆษกอัยการสูงสุดช่วยเปิดโปงแล้วว่า “ทั้งสองไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการด้วยตัวเอง แต่ซื้อขายหุ้นผ่านกองทุน”
3.พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบคำถามเรื่องราคาขายว่า “ขายไปในราคาพาร์ เพราะต้องยอมรับว่า ตอนนี้อสังหาริมทรัพย์ในตลาดต่ำกว่าราคาพาร์ทั้งนั้น เราขายได้ราคาพาร์ในช่วงนี้ก็ถือว่าเฮงแล้ว”
เป็นคำตอบที่เป็นความจริง แต่ไม่ตอบเหตุผลว่าทำไมที่พาร์ ความจริง (3) ก็คือเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษี แต่ขัดกับที่บอกว่าเป็นนักลงทุนต่างชาติธรรมดา ด้วยมีการขายเหมาเข่ง 5-6 บริษัท ที่ราคาพาร์ทั้งหมดเลย ทั้งที่แต่ละบริษัท ทำธุรกิจไม่เหมือนกัน ก่อตั้งไม่พร้อมกัน กำไร/ขาดทุนไม่เท่ากัน มูลค่ากิจการไม่เท่ากัน ผู้เข้าใจธุรกิจย่อมเข้าใจว่าเป็นการโอนระหว่างพวกเดียวกันกับโนมินีมากกว่า ดูอย่างที่ครอบครัวขายให้เทมาเส็ก ราคาหุ้นละ 49.25 บาท ต้องต่อรองถึงเศษ 25 สตางค์ด้วย ซึ่งการขายเหมาที่ราคาพาร์นี้ โต้แย้งข้อ (1) ที่ว่าเป็นนักลงทุนต่างชาติธรรมดาๆ ไม่ใช่ของตัว
4.นักข่าวถามว่า “บริษัทที่ขายหุ้นให้กับต่างชาติก็ผลประกอบการไม่ค่อยดีนัก ทำไมนักลงทุนถึงสนใจซื้อ” ทักษิณตอบว่า “ที่ต่างชาติสนใจซื้อเพราะบริษัทจะเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในโอกาสต่อไป”
แต่ความจริง (4) ใน 5 บริษัทที่วินมาร์คซื้อไปนี่ มีบริษัทเดียวที่เข้าตลาดฯได้ คือ บ. โอเอไอ พร็อพเพอตี้ (ปัจจุบันคือ SC) แต่ วินมาร์คกลับขายหุ้นออกไป 3 สัปดาห์ก่อนยื่นไฟลิ่ง คือวันที่ 11 สิงหาคม 2546 โดยผู้ซื้อคือ VAF ซึ่ง ถือหุ้นเพียง 3 สัปดาห์แล้วขายต่อให้ อีก 2 กองทุน คือ OGF และ ODF เหมือนเป็นคนละกองทุน โดยทั้ง VAF, OGF และ ODF มีที่อยู่ที่มาเลเซียเหมือนกัน คือ เลขที่ L1, LOT7, BLK F, SAGUKING …
LABUAN FT, MALYSIA (ตามที่ คุณ กรณ์ จาติกวนิช เป็นผู้เปิดเผยข้อมูลนี้) หลังจากขายหุ้นที่เข้าตลาดฯได้หุ้นเดียวไป วินมาร์คกลับถือหุ้นที่เหลือที่ “ไม่ได้เข้าตลาด” ไปอีกปี แล้วขายคืนให้ น.ส. พินทองทา ทั้งหมด เป็นเงิน 485.8 ล้านบาท ในวันที่ 27 ตุลาคม 2547 ทุกบริษัทเหมาเข่งที่หุ้นละ 10 บาท เหมือนเดิม ซึ่งมิใช่วิสัยของนักลงทุนทั่วไป แต่เป็นลักษณะโนมินีอีกเช่นเคย
นอกจากนั้น มีการเพิ่มทุนที่ราคาหุ้นละ 10 บาท เพื่อขายให้ น.ส. พินทองทา และ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร เป็นเหตุให้ VIF ต้องเสียประโยชน์จากส่วนต่างของราคาหุ้นเมื่อ SC Asset ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 71 ล้านบาทเศษ ทำให้ไม่น่าเชื่อว่า VIF เป็นผู้ลงทุนอิสระดังที่อดีตผู้นำกล่าว
5.นักข่าวถามว่า “ปปง.” ขอตรวจสอบ..? ทักษิณตอบว่า “ถ้า ปปง.ตรวจสอบก็พร้อมจะให้ตรวจสอบ เพราะว่าเงินของเราสะอาดอยู่แล้ว...จะต้องไปกลัวทำไม” ความจริง (5) คือ พ.ต.ท. ทักษิณ ไม่เคยปล่อยให้ ปปง. ตรวจเลย ตามข่าว คุณกรณ์ไปยื่นที่สำนักงาน ปปง. ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2549 ปปง. ก็เก็บเรื่องเงียบไป
สำหรับประเด็น “กลัวทำไม” นาย เสนาะเทียนทอง อดีตเลขาธิการ พรรค ทรท. ยุคแรก กล่าวบนเวทีพันธมิตรช่วงต้นปี 2549 ว่า “เพราะรวยจากโกงชาติ กล้าทำแม้เผาบ้านเผาเมืองเพื่อเอาประกัน มีการไตร่ตรองและวางแผนไว้ก่อนทุกขั้นทุกตอนไอ้หมอนี่คิดเป็นจ๊อบๆ" และ กล่าวอีกว่า “วันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กับประธานรัฐสภาที่เพิ่งหมดวาระไปไปหาหัวหน้าจิ๋ว คุยกุ๊กกิ๊กอะไรตนไม่รู้ แล้วในที่สุดให้ นายทนง พิทยะ มาเป็น รมว.คลัง เข้ามาไม่กี่วันก็ลอยตัวค่าเงินบาท จาก 26 บาท ขึ้นเป็น 50 บาท พี่น้องคนไทยเจ๊งเป็นเอ็นพีแอลทั้งประเทศ พอเสร็จภารกิจก็ลาออกเลย มาจัดตั้งรัฐบาลใหม่”
โดยนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า พยานหลักฐานที่ปรากฏเพียงพอสำหรับการสั่งไม่ฟ้องคดี โดยมีความเห็นว่า