อย่างน้อยก็ถือเป็นเรื่องดี 1 เรื่อง ที่เกิดขึ้นท่ามกลางเรื่องร้ายๆ
ต่อการแถลงลาออกของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน จากตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทันทีที่ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดในคดีการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง กว่า 6 พันล้าน
จะเป็นเพราะผู้ใหญ่ในพรรคกดดัน หรือเพราะไม่มีทางเลือกอื่นเนื่องจากพรรคของตัวเองไปเรียกร้องกับคนอื่นไว้เยอะ
หรือเป็นเพราะสปิริตการเมืองใหม่อย่างที่อ้าง
ก็แล้วใครจะคิดอ่านกันอย่างไร
แต่จะอย่างไรก็ต้องชื่นชมการตัดสินใจครั้งนี้ของนายอภิรักษ์
เพราะนอกจากทำให้ตัวเองดูดีแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ต้นสังกัดยังพลอยมีหน้ามีตาไปด้วย
เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์คงเอาเรื่องนี้ไปคุยโม้ได้อีกยาวเป็นปี
เอแบคโพลที่สำรวจออกมา ว่าผลจากการประกาศลาออกของนายอภิรักษ์ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์สามารถรักษาฐานนิยมศรัทธาในกลุ่มคนกรุงไว้ได้
ที่สำคัญคือถ้ามีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.เกิดขึ้นวันนี้ คนกรุงร้อยละ 37 ตั้งใจจะเลือกผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง
ถือเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ
นั่นคือผู้สมัครพรรคพลังประชาชน ร้อยละ 29.3 ที่เหลือร้อยละ 33.7 เฉลี่ยกันในกลุ่มผู้สมัครอิสระอย่าง เสี่ยชูวิทย์ ดร.แดน หรือ ลีน่าจัง เป็นต้น
สรุปแบบด่วนๆ คือไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ส่งใครลงสมัครโอกาสที่จะแบเบอร์ได้รับเลือกกลับเข้ามามีอยู่สูง
แต่อย่างว่าเรื่องสปิริตทางการเมืองทำนองนี้ เมื่อมีคนชม ก็ต้องมีคนด่า
ไม่ได้ด่านายอภิรักษ์ แต่ด่าไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่รู้ว่านายอภิรักษ์มีชนักปักหลังเรื่องนี้อยู่ก็ยังฝืนส่งลงสมัครผู้ว่าฯ จนเกิดอุบัติเหตุต้องเลือกตั้งใหม่อย่างที่เห็น
อย่าว่าแต่คำชี้มูลของป.ป.ช. เกี่ยวกับบทบาทของนายอภิรักษ์ ในการเร่งรัดเปิดแอล/ซี ให้แก่บริษัทสไตเออร์
ก็มีแง่มุมตรงกันข้ามกับการสรุปสำนวนของคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีรถดับเพลิงของ คตส. ที่มีนายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. เป็นประธานคณะอนุกรรมการ
ชนิดที่ทำเอาคนมึนไปทั้งประเทศ
และคงต้องมึนกันต่อไปจนกว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองจะมีคำวินิจฉัยตัดสินออกมา ว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังการเร่งรัดเปิดแอล/ซี ดังกล่าวหรือไม่
แต่ก็อีกนั่นแหละกว่าผลตัดสินจะออกมา
พรรคประชาธิปัตย์คงส่งคนของตัวเองเข้าไปยึดเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.ไว้ได้อีกสมัยเรียบร้อยแล้ว